ฉันไม่โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคน “มองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น”

ฉันไม่ได้โชคดีแบบนั้น ฉันไม่ได้โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคนมองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น มองเห็นความเจ็บปวดของฉัน และอยากฉุดฉันขึ้นไป ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่ฉันจะบอกตัวเองได้ดีไปกว่า “ยอมรับความจริงเถอะ” ทุกครั้งเวลาที่ฉันเห็นใครๆ เขารักกัน ความหวังในใจ ความเพ้อทุกครั้งที่กดแอปสีดำแดงเพื่อเลือกซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ โจทย์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องเป็นเรื่องที่ฉันสามารถสมมุติตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องได้ แล้วจินตนาการต่อว่า บางทีฉันอาจจะเจอผู้ชายในชีวิตจริง ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่อง หนังสือฮาวทูบอกว่า ให้คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุด แล้วตัดออกให้เหลือสัก 10 ข้อว่านั่นคือคุณสมบัติผู้ชายที่อยากได้ ฉันลองทำและกุมลิสท์นั้นไว้แน่นในกระเป๋าสตางค์ เอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ด้วย บางทีที่เขาบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จะมอบพลังงานของความรักดูดใครให้เข้ามาในชีวิต ฉันจะเอาลิสท์นั้น ออกไปหาแสงจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนึกถึงเขา แน่นอนว่าฉันมีความเชื่อ ยังคงเชื่อ และก็จะเชื่อต่อไป เรื่องราวในโทรศัพท์กับเพื่อนสาว เราจะวนเวียนกันที่ซีรีย์ที่เพิ่งดู กรี๊ดพระเอก อยากบินไปเกาหลี แล้วเราก็จะกลับมาที่เรื่องของเรากัน ทำไมเพื่อนคนนั้นได้แฟนดีจัง แฟนเขาพาไปเมืองนอกบ่อยมากเลย เขาไปทริปกันอีกแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่พยายามหาเรื่องเน่าๆ ในเรื่องรักของคนอื่น “แต่พวกเขาอาจมีอะไรไม่แฮปปี้ก็ได้นะ พวกเราไม่มีทางรู้หรอก” มันคงเป็นคำปลอบใจที่เราบ่นให้กันฟัง แต่ฉันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิตอยู่ดี “ที่เธอเหนื่อยเพราะไม่มีคนรักหรือเปล่า?” ประโยคจากเรื่อง My Liberation Notes หัวหน้าของพี่สาวนางเอกถามขึ้นมา หลังจากที่เธอมาทำงานแล้วบ่นว่าเหนื่อยๆๆๆๆ ทำไมชีวิตฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้ […]

คุณหมอสา-Guardian Diamond พี่สาวที่เปิดประตูลับ ช่วยเคลียร์พลังงานลบให้คุณพบความสำเร็จ

ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]

5 วัดปังในฮ่องกง ขออะไรเทพให้รัวๆ

“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

“อกหัก” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดกับฉัน ฉันเลิกโกหกตัวเองสักที

เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]




Career

ฉันถูกเลย์ออฟ ! แต่เราไม่ท้อนะ!



9 สิ่งนี้ เราอยากช่วยคุณดึงใจกลับมาให้ได้

เมื่อวันหนึ่ง ฉันได้รับข้อความเรียกรวมตัวเข้าออฟฟิศระหว่างที่บริษัทให้ WFH ซีอีโอก็บอกว่า “เราต้องยุบแผนกนี้นะ” ฉันและเพื่อนๆ มองหน้ากัน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง มีสัญญาณอะไรบางอย่างที่รู้สึกได้ตั้งแต่ก่อน WFH แล้วล่ะ แต่ในใจก็พยายามคิดว่า “คงไม่หรอกน่า” แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

ด้วยเนื้องานที่ฉันทำ เป็นแพลตฟอร์มการขายของทางออนไลน์ ที่ต้องใช้แฟนคลับ ยอดไลค์ ยอดแชร์อย่างสูง เพื่อให้เกิดการซื้อขาย และต้องใช้การบูสท์แอดอย่างมาก แต่ในความเป็นจริง บริษัทไม่ได้มีบัดเจ็ทพอจะบูสท์แอดแม้แต่หนึ่งพันบาทเลยด้วยซ้ำ ทำให้แพลตฟอร์มนี้เหมือนจะพังๆ แต่พวกเราก็ยังพยายามตั้งใจทำกันต่อไป

ทันทีที่ความจริงมาปะทะแล้ว ความกลัวในสมองพรั่งพรูมาเต็มไปหมด ฉันจะทำยังไง? ทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าบ้าน ค่ารถ เบี้ยประกันชีวิต น้องหมา น้องแมวที่บ้าน! ยังดีที่ฉันไม่มีลูกนะ แต่ก็ทำให้รู้สึกในใจแว่บขึ้นมาเลยว่า “หรือฉันเจ๋งไม่พอ” ฉันไม่โทษบริษัทหรือใครเลย ฉันกลับคิดว่าคงเป็นเพราะตัวฉันเองหรือเปล่านะ ที่ทำงานเลยไม่คิดจะมีฉันไว้ รายได้ประจำทุกเดือนกำลังจะหายไป ความรู้สึกไม่มั่นใจในสกิลล์ตัวเองถาโถมเข้ามา แล้วฉันจะอยู่ต่อยังไง? ต้องประหยัดขึ้นใช่ไหม? ซื้ออะไรไม่ได้แล้วสิ! การกินก็คงต้องเปลี่ยน นี่ขนาดประหยัดแล้ว คงต้องประหยัดขึ้นไปอีก แล้วต้องรีบหางานใหม่เลยไหม? แล้วจะหางานมั่นคงในยุคนี้ได้อีกจริงหรือ? บอกเลยว่าหัวใจสั่นไหวมาก ยอมรับนะว่าฉันเคยท้อปฟอร์มมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่คิดว่าตัวเองมีความเจ๋งใดๆ แทบร้องไห้ล้มทั้งยืน แล้วฉันควรทำไงต่อดี?

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพ จอห์น เลสส์ ชาวอังกฤษ เขาบอกไว้น่าคิดว่า สิ่งนี้คือความจริงที่คุณต้องยอมรับว่า บริษัทเขาปฏิเสธคุณ เขาอยู่ได้ถึงจะไม่มีคุณ มันเป็นเรื่องที่ไม่แปลกเลยถ้าคุณจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่จอห์นบอกต่อว่า แต่คุณก็ไม่ควรเสียความมั่นใจจนราบคาบ การถูกให้ออกจากงาน จะกลายมาเป็นความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ให้คุณได้อย่างดี มันสามารถสร้างให้เกิดสิ่งดีงามตามมาให้ภายหลังได้ จอห์นอยากให้เราคิดว่า สิ่งนี้คือโอกาสให้เราได้ทบทวนกับตัวเอง และได้เลือกสิ่งที่ใช่สำหรับเราหลังจากนี้ เพราะสิ่งที่เรามักจะเจอคือ บางครั้งเราทำงานในตำแหน่งของตัวเองมานานเกินไป ทั้งเฉา ทั้งหมดไฟ และไม่รู้จะไปไหน หรือบางครั้งเราทำงานกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา เมื่อเราต้องออกจากบริษัทนั้น เลยเป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่ ที่จะรีเฟรชให้หัวใจเราได้สดชื่นขึ้นต่างหากด้วย แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี?

พักเบรคให้ตัวเอง

สิ่งแรกคือเราต้องฟื้นตัวเองขึ้นมาให้ได้ พาตัวเองไปพักสักสองสามวัน ที่ใกล้ๆ สบายๆ นั่งริมแม่น้ำ ขี่จักรจาน เดินเล่น หรือเข้าป่าเทรคกิ้ง แคมปิ้ง “อย่าเอาอะไรที่ต้องตัดสินใจเข้ามาในหัว ไม่ต้องรีบคิดเรื่องงานใหม่ คุณต้องการเวลาเพื่อฟังเสียงของตัวเองมากที่สุด” 

Cleo Recommend: ขับรถไปเชียงใหม่ ไปที่ Basecamp Trail Café ที่นี่จะมีทริปเทรคกิ้งพร้อมคนนำแนะนำ และแค่นั่งเหม่อๆ ที่นี่ก็ทิ้งอารมณ์ไปได้เยอะเลย 

.

จัดการเรื่องการเงินของเรา

คุยกับแผนกบุคคลเรื่องเงินเดือน Providend Fund ที่เราต้องได้รับให้เรียบร้อย และเอาเงินเก็บทุกส่วนมาคิด กับรายจ่ายที่เราต้องจ่ายแต่ละเดือน “คำนวนให้ได้ว่าเงินที่เรามี เราจะอยู่โดยไม่มีงานได้อีกนานแค่ไหน?” และสำคัญมากคือมองตามความเป็นจริงในการใช้เงินของเรา “เราจะใช้เงินในแต่ละวัน แต่ละเดือนเท่าไหร่จากนี้ไป” ให้ประเมินเอาไว้ด้วย แล้วต้องตัดใจไม่ใช้กับอะไรบางอย่างจริงๆ และถ้าเราต้องดูแลคนในครอบครัว ก็ควรให้ทุกคนรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา “นี่คือความจริงนะ”

.

ระบายสิ่งนี้ออกมาจากใจ

เมื่อเรายังมีอารมณ์คุกรุ่นในใจเรา ยังมีคำถามมากมาย “ทำไมฉันถึงโดนสิ่งนี้?” จอห์นแนะนำว่า “คุณต้องเอาความโกรธ ความรู้สึกถูกปฏิเสธนี้ งัดออกมาให้หมด” ให้หาคนที่เราไว้ใจ ใจเย็นๆ ไม่ตัดสินเราสักคน แล้วระบายความรู้สึกกับเขา จะร้องไห้ จะด่าทอ อะไรก็ตาม เอามันออกมา หรือเขียนมันออกมาทุกครั้งที่เรารู้สึกเจ็บใจ ประเด็นคือเราต้องล้างให้หมด พังให้ราบ ก่อนที่เราจะเกิดใหม่ได้ เพราะถ้าเราเริ่มสมัครงานใหม่ แล้วยังมีกลิ่นอายของความเศร้า ความโกรธอยู่ คนที่สัมภาษณ์เราเขาจะคิดได้ว่า “โอววว ผู้หญิงคนนี้เหมือนถูกใครทำอะไรมาเลย” เลยต้องจัดหัวใจให้ดีๆ ไว้ ก่อนเริ่มรับโทรศัพท์จากเฮชอาร์บริษัทใหม่

.

หาประโยคดีๆ รวบตึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเมื่อเราได้เคลื่อนเข้าสู่กระบวนการจะหางานใหม่แล้ว เราต้องเตรียมประโยคฮุคๆ ดีๆ เพื่อตอบคนที่จะสัมภาษณ์เรา เมื่อเราถูกเขาถาม และต้องให้เหตุผล จอห์นแนะนำว่า สิ่งที่เราตอบต้อง “สั้น กระชับ ตรงประเด็น และน่าตื่นเต้น” ยกตัวอย่างเช่น “บริษัทที่ฉันเพิ่งเดินออกมา เขาทำการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ฉันเลยได้รับโจทย์จากบริษัทให้ลองคิดว่า นั่นจะตรงกับอนาคตทางอาชีพของฉันมั้ย ฉันก็เลยคิดว่า ตอนนี้สิ่งที่ฉันกำลังมองหาคือ……..(ใส่แพชั่น ความสนใจ สกิลล์)”  จอห์นย้ำว่า เรื่องเลย์ออฟเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในโลกแห่งการทำงานทุกวันนี้ และยิ่งหนึ่งปีที่ผ่านมา ผลกระทบของโควิด ทำให้สิ่งนี้เป็นสิ่งสามัญเลย

.

ให้พลังบวกอยู่รอบๆ ตัวไว้

ทันทีที่เราคิดถึงอนาคตตัวเรา ใจก็เริ่มจะท้อๆ และเหมือนคิดมากจนจะเป็นดีเพรสได้ ทางแก้คือ เราต้องคอยหมั่นให้ตัวเองอยู่รอบๆคนที่มีหัวใจพลังบวกไว้ คนที่ใจเราตื่นรู้เวลาอยู่ด้วย อาจจะเป็นรุ่นพี่ที่เป็นเมนเทอร์ให้เรา เพื่อนร่วมงานพลังงานดีๆ หัวหน้างานเก่า เพื่อนที่เคยผ่านเรื่องราวในชีวิตมา บอกเขาตรงๆ ว่า “ช่วงนี้ขอพลังบวกจากพี่หน่อยนะคะ” 

.

ค้นหาโอกาสของเราต่อไป

ก่อนที่ใครจะเห็นเรา เราต้องสร้างความเป็นเราให้เขาเห็นก่อน “สร้างโพรไฟล์ในลิงค์อิน (LinkedIn) สร้างในเฟซบุ๊คให้รวบตึงสิ่งที่เราเป็น” และคอยหาเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อใส่ไปในเรซูเม่ว่าเราก็มีความยืดหยุ่นตามเทรนด์นะ จอห์นบอกว่า “สร้างให้ตัวตนของคุณเป็นคนที่มีความอยากเรียนรู้ อยากค้นหาสิ่งใหม่ๆ เอาไว้” สิ่งที่ต้องปักธงไว้เลยก็คือ เราต้องคิดว่าความสำเร็จของเราที่เราตั้งไว้ หน้าตาเป็นยังไง ปรับสิ่งนั้นให้เข้ากับเรซูเม่ของเรา นายจ้างเขาจะรู้สึกว่าเรามุ่งมั่น พุ่งไปข้างหน้า

.

มองอะไรข้างตัวที่อาจคิดไม่ถึง

ใครจะรู้ว่างานหน้าที่เหมาะกับเรา อาจจะเป็นบริษัทเล็กๆ ที่เพื่อนตั้งขึ้นมาก็ได้ หรือหัวหน้างานเก่า อาจชวนไปทำอะไรด้วยกัน การเริ่มจากอะไรที่เล็ก จะทั้งท้าทาย ได้ทำงานจริง ถ้าเป็นงานที่เราชอบ ก็อาจทำให้เรามีไฟอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะมี ถ้าไม่ติดขัดเรื่องเงินมาก บางครั้งสิ่งที่เริ่มมาจากศูนย์ ก็อาจทำให้เราไปถึงเป้าที่ตั้งไว้ มากกว่าเข้าไปในองค์กรที่ยักษ์ใหญ่ก็จริง แต่เราเป็นตัวเล็กๆ ในนั้น

.

สร้างนิสัยหางานที่สม่ำเสมอ

พักพอแล้ว ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่นะ และลุกแบบกระฉับกระเฉงเลย สร้างพลังเพื่อทำเรซูเม่ เซิร์ชหางาน แล้วส่ง ทำให้สม่ำเสมอ ไม่หาข้ออ้างให้ไม่ทำ “เราต้องหาทางเลือกไว้เสมอ อย่าสมัครงานที่เดียว ถึงมีใครเรียกเราสัมภาษณ์ ก็ต้องมองงานอื่นไว้ด้วยเสมอ” และต้องเชื่อมตัวเองกับผู้คนไว้ หาเวลาคุยโทรศัพท์กับใคร ชวนกันไปกินกาแฟข้างนอกอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพื่อที่ว่าจะได้สร้างพลังงาน “ที่บวกและตื่นรู้ไว้” นั่นเอง

.

อย่าหมกมุ่นมากไปเหมือนกันนะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราต้องจ้องหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลานะ คอยสร้างความสบายให้กับกายและใจด้วย เพราะจะทำให้เรา ไม่เฮลธ์ตี้ และไม่มีประสิทธิภาพได้ เมื่อเราออกไปเดินเล่น สูดอากาศบ้าง หัวโล่งๆ ได้ออกกำลัง จะทำให้สปิริตเราบวก และอัพให้สูงขึ้น อย่ามัวแต่ดูซีรีย์ทั้งวันทั้งคืนนะ เราจะหนืดและไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเหมือนกัน 

สำคัญคือ อย่าโทษตัวเอง อย่าคิดว่าเราไม่ดี ให้พูดกับตัวเองด้วยความภูมิใจในตัวเอง และเห็นคุณค่าตัวเองไว้เยอะๆ นะ

ถ้าใครถูกเลย์ออฟแบบไม่เป็นธรรม คลิกเพื่อหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']