“ความสุข” กับ “ความสบายใจ” นอกจาก สะกดต่างกันแล้ว ยังมีลักษณะต่างกัน
ความสุข ส่วนมากมักต้องพึ่งพาคนหนึ่งหรือสิ่งอื่น เช่น ได้ทานอาหารถูกปาก ได้ฟังเพลงที่ถูกใจ วันนี้แฟนพูดจาดี (ชมว่า สวย อะไรอย่างนี้) หรือ มีคนพูดหรือทำดีกับเรา ให้เกียรติเรา เป็นต้น
ตอนเราเด็กๆ แม่บอกว่า ถ้าสอบเข้าเตรียมฯได้แม่จะมีความสุข เราก็พยายามสอบให้ได้ พอสอบได้ ก็อยากได้ คะแนนดี ต่อมาแม่บอกว่า ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้แม่จะมีความสุขมาก พอเข้าได้ เราก็อยากได้เกียรตินิยม มาสังเกตดูความสุขของแม่และของตัวเอง ดูเหมือนไม่มีวันหมด เพราะพอได้สิ่งนี้ ก็อยากได้สิ่งนั้นอีก จึงดูเหมือนเราวิ่งไล่หาความสุข ไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยหมดแรง และ ก็ไม่รู้ว่าความสุขนั้นมันคืออะไรกันแน่ ลองผิด ลองถูกจนงง
นับวันดูเหมือนเราเพิ่มแฟคเตอร์ให้กับความสุขที่เราวาดฝันขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆตามความเก๋าแบบแปลกๆ เช่น ถ้าได้เงินมากกว่านี้ น่าจะมีความสุขมากกว่านี้ หรือ ได้เปลี่ยนรถที่ดูดีกว่านี้ ก็น่าจะโอเคขึ้น อะไรก็ตามที่อยากได้ ไปเรื่อยๆ
ความสุขบางอย่างอาจใช้เงิน ซื้อได้ แต่ความสบายใจนั้น ใช้เงินซื้อไม่ได้
เรามาทำความรู้จักกับความสบายใจกัน
ความสบายใจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มักไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งของอะไรทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากตัวเราคนเดียวล้วนๆ จากสิ่งที่ง่ายๆ เช่น นกร้องตอนเช้า
การคิดดีกับคนอื่น ปราถนาให้คนอื่นมีความสุข การได้ให้กำลังใจใครสักคน มีความรักความเมตตาให้กับตัวเอง คนอื่นและสรรพสิ่งรอบข้าง ไม่โกรธ มีใจให้อภัยและพร้อมจะเข้าใจคนอื่นเสมอในความต่างของกันและกัน ปล่อยวางง่าย พอใจกับสิ่งที่มีอยู่
ไม่คิดมาก ไม่กังวัล อยู่กับปัจจุบัน และ ไม่ตัดสินคนอื่น ยอมรับความจริง มีอารมณ์ขัน และมองที่จะปรับปรุงตัวเองไม่มองคนอื่นว่าผิดหรือถูก
แค่นี้ ก็จะทำให้คนนั้นเลิกวิ่งไล่หาความสุขแต่ ได้ความสบายใจ หน้าตาสดใส จิตใจเบิกบาน
กว่าจะเข้าใจความสุขและเลิกวิ่งหามัน และเปลี่ยนมามีความสบายใจแทนได้แล้วนะ
เขียนโดย: อาภาศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา