แค่ขนมจะทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าความอร่อย เพราะไม่ใช่แค่ความหวานแต่ยังพารสชาติของชีวิตมาให้เธอรู้จัก นุช- พัทนุช ซ้ายขวัญ เจ้าของแบรนด์ขนมวาฟเฟิลสอดไส้คาราเมล Stroopwafel ที่อยู่ในชื่อแบรนด์ Sweet Chew ที่อิมพอร์ตมาจากเนเธอร์แลนด์ซึ่งสาวๆ คงจะเห็นกันบ่อยๆ เวลาแวะซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ Café Amazon กว่าธุรกิจจะมาได้ถึงวันนี้ พี่นุชต้องแลกด้วยความเศร้าอะไรบ้าง คลีโอจะแชร์ประสบการณ์ให้คุณได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
เปิดฉากด้วยความรัก
พี่นุชเล่าว่าเธอได้คบและแต่งงานกับสามีชาวเนเธอร์แลนด์ ไอเดียของธุรกิจก็เกิดขึ้นวันนั้นล่ะ “งานแต่งงานมีที่กั้นประตู แทนที่จะกั้นแล้วให้ซองธรรมดา เราเอาสตรูปวัฟเฟิลมาจ่ายเป็นค่าผ่านทาง ตอนแรกคิดว่าจะเอาวัฟเฟิลมาแจกแขกในงานเป็นกิมมิค โดยฝากแขกฝั่งเจ้าบ่าวขนมาจากเนเธอร์แลนด์ แต่สามีบอกว่าไม่ได้ เราเลยเอาเครื่องทำมาผลิตแจกในงานเลย คนก็ชอบว่าขนมอะไร ทำยังไง ตรงนั้นทำให้เราเห็นลู่ทาง ลุกขึ้นมาทำขายแบบโฮมเมดดู เราใช้ส่วนผสมของไทยทั้งแป้ง เนย ฯลฯ เปิด youtube ทำตามและขายอยู่ 1 ปี แต่ด้วยความโฮมเมดทำให้รสชาติต่างๆ ไม่นิ่ง ไม่ถึงความเป็นออริจินัล เรากลับไปเนเธอร์แลนด์เพื่อดูเครื่องผลิตซึ่งแค่เครื่องอย่างเดียว 14 ล้านบาท โรงงานเราก็ไม่มี วันที่ไปดูเครื่องเราเห็นเค้าแพคจัดส่งสตรูปวัฟเฟิลไปที่จีน เลยคิดว่าไปจีนได้ก็ต้องมาไทยได้สิ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราซื้อจากต้นตำรับแล้วมาขายประเทศไทย รวมทั้งโชคชะตานำพาให้ Café Amazon มาเจอและชวนให้นำสินค้าไปขาย”
ได้มีโอกาสเข้าไปพรีเซ็นต์ พี่นุชเห็นว่าสตรูปวัฟเฟิลมีขายอยู่แล้วใน Café Amazon เลยลองนำเสนอบราวนี่ดู มีสินค้าอย่างสตรูปวัฟเฟิลอยู่แค่สองหน้าสุดท้าย และ Café Amazon ก็โทรมาบอกว่าขอเลือกสตรูปวัฟเฟิลของเธอไปขาย “ปัญหาช่วงแรกๆ ที่เจอคือมีบางล็อตที่ส่งมาจากที่นู่นแล้วคาราเมลเยิ้ม เสียทรงก็ต้องทิ้งไป 2 ปีแรกเรียกว่าเงินจมหายไปเลย อาจเพราะความต้องการของตลาดยังไม่มากพอ การบินมาค่าใช้จ่ายสูง เราคำนวณต้นทุนไม่ครบ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟระหว่างทาง”
ปัญหาธุรกิจกลายเป็นปัญหาครอบครัว
“โชคดีที่เราเป็นคนมีเงินเย็น และธุรกิจนี้ทำให้สามีอยู่เมืองไทยกับเรา เลยลุกขึ้นมาทำด้วยกัน แต่การขาดทุนตลอดก็บั่นทอนจิตใจเราทุกวัน เป็นเรื่องในครอบครัว ปีที่สองเราตัดสินใจเลิกกัน ตอนนั้นอยากหยุด อยากเลิกขายไปเลย” คลีโออยากรู้ว่าจุดแตกหักที่ทำให้พี่นุชกับสามีขอไม่เดินไปด้วยกันต่อจริงๆ มาจากเรื่องไหน พี่นุชบอกว่า “เราทั้งคู่ไม่ได้ทำงานอย่างอื่น สามีพี่ตั้งใจให้เป็นงานเลี้ยงชีพ แต่เมื่อมีปัญหาการเงิน เขาปรับตัวกับการอยู่เมืองไทยไม่ได้ เราแบ่งงานกัน เขาดูด้านการตลาด เขาบอกว่าเขาเก่งออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง แต่มาอยู่เมืองไทย คนไทยชอบโซเชียลมีเดีย เขาไม่เชื่ออย่างนั้น เพราะคนยุโรปรักษาความส่วนตัวสูง สามีภรรยาที่คิดไม่เหมือนกัน เจอหน้ากัน 24 ชั่วโมงนี่ยิ่งตีกันไปใหญ่ เขาทนแรงกดดันจากเราไม่ได้ เขาก็บอกว่างั้นยูอยู่ต่อ เขาไปเองดีกว่า แล้วเขาก็กลับประเทศไป”
วันนั้นพี่นุชคิดว่าอยากขายกิจการไปเลย แต่ระยะทางและความอดทนของพี่นุชทำให้ได้เจอกับพาร์ทเนอร์คนใหม่ที่จะพาธุรกิจไปด้วยกันเกิดเป็นวันนี้ “น้องที่เราจ้างเขารีแพคเกจจิ้งให้ เขาเห็นเราตั้งแต่วันแรก เขาเห็นตัวเลขที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่เขาทำโรงงานและเราจ้างเขาเป็นรายชิ้น เขาเสนอให้เราเช่าโรงงานของเขา จ่ายค่าแรงพนักงานต่างๆ ซึ่งพี่ยังไหว ก็เลยเช่าต่อ และน้องพาร์ทเนอร์คนนี้ก็เป็นคนที่ทำให้เราเพิ่มไลน์ผลิต มาช่วยพัฒนาเรื่องต่างๆ มากขึ้น มีการคิดสินค้าเป็นบราวนี่อบกรอบขึ้นมา ปีที่สองออเดอร์เริ่มเยอะขึ้น ปีที่สามถึงเริ่มเห็นกำไรขึ้นมาบ้าง”
บทเรียนสำคัญคือต้องแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน
ถ้ามองย้อนกลับไป พี่นุชยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อดีตสามีเป็นคนที่ทำให้เธออยากทดลอง ข้อดีอย่างหนึ่งคือการได้ลุกขึ้นมาทำและได้เรียนรู้ไปในแต่ละวัน “เราเป็นคนยอมรับข้อดีข้อเสียตัวเองว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ เราเก่งการประสานงาน หาซัพพลายเออร์ ถ้าวันนั้นเราแบ่งกันชัดจริงๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้าเขาทำหน้าที่ได้ดี เราจะเป็นคนฟัง สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นเราร้องไห้เสียใจนะ แต่ชีวิตต้องมูฟออนไปต่อ เรากลับมารักตัวเอง ถ้าเขาไม่เหลือความรักแล้ว ไม่มีอะไรที่เราต้องยื้อ เรามาศึกษาใส่ใจเรื่องที่เราไม่เก่ง การทำงานทุกวันนี้แบ่งงานกันชัดเจนมาก พาร์ทเนอร์ธุรกิจคนใหม่เป็นคนเก่งวางระบบ การคำนวณ เรามีความเห็นไม่เหมือนกัน เราเสริมได้ ถ้าเขามีเหตุผลมา เราก็รับฟังเหมือนกัน”
“พี่เชื่อว่าชีวิตคู่ก็คือชีวิตคู่ ถ้าวันนั้นเขามีงานของเขา เขากลับบ้านมาเล่าปัญหา เราก็แค่ตบไหล่แล้วปลอบใจ ทุกอย่างคงผ่านไปได้ แต่ถ้าตีกันด้วยความคิด ความศรัทธาชีวิตคู่จะลดลงทันที เมื่อไหร่ที่มีคำถามว่า ทำไมเธอทำได้แค่นี้ หรือทำไมเธอคิดแบบนี้ ความเชื่อในตัวเขาที่เรามีจะหายไปเลย พาร์ทเนอร์คนปัจจุบันไม่ใช่สามีไม่ใช่คู่ชีวิต แต่การแบ่งงานลงตัว เราให้เกียรติเขา มันก็จะรอด” พี่นุชย้ำว่าถ้าคุณมองหน้าใครแล้วไม่มีศรัทธาว่าเขาจะพาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น มีเขาแล้วต่างคนต่างเหนื่อยก็ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันไปเพื่ออะไร
จากทั้งหมดที่ได้คุยกับพี่นุชมา คลีโอถามตรงๆ ว่าความเครียดในการหาเงินถือว่าเป็นส่วนสำคัญและเป็นสาเหตุหลักๆ ในการประคองชีวิตคู่เลยมั้ย พี่นุชบอกว่า “ถ้าเรามีเงินแล้ว เราดูแลตัวเองได้ มองอะไรก็สบายตาสบายใจ ถึงคู่ของคุณจะไม่ได้ซัพพอร์ต คุณก็อาจจะรอด ถ้าวันนั้นไม่ได้มีปัญหาการเงิน เราอาจไม่เลิกกันก็ได้นะ”
วันนี้เป้าหมายของพี่นุชคือการทำ Sweet Chew ให้ดี ดูแลตัวเอง ดูแลพ่อแม่ ให้อะไรกลับคืนคนที่สนับสนุนเรา มองหาโอกาสใหม่ๆ ถ้าชีวิตของเธอแฮปปี้ ที่บ้านแฮปปี้ มีเงินใช้อย่างแฮปปี้ และเหลือที่ให้ใครมาแฮปปี้เพิ่มได้อีก พี่นุชก็พร้อมดูแลไปด้วยกันในอนาคตต่อได้ คลีโอคิดว่าเรียงลำดับความสำคัญในชีวิต ค่อยๆ เติมในสิ่งที่ขาดแล้วคุณจะรู้สึกเติมเต็มไปในทุกวันเอง