ตอนนี้ที่ทำงานของสาวคลีโอหลายคนกำลังเปลี่ยนผ่านงานของพี่ๆ ชาวเจน X มาสู่มือของสาวมิลเลนเนียลหรือเจน Y ที่เกิดในช่วงปี 1981 ถึง 1996 หรือเกิดปี 2000 ก็ยังก้ำกึ่งว่าเป็นชาวมิลเลนเนียลอยู่ นั่นเลยหมายถึงสาว first-jobber อายุ 20 กว่าๆ ไปจนถึงเมเนเจอร์รุ่นใหม่ๆ เพิ่งเข้าเลข 4 กำลังมีบทบาทสำคัญมากในหลายองค์กร ชัดเจนมาตั้งแต่ช่วงปี 2016 อย่างในอเมริกาเองคนยุคมิลเลนเนียลเข้ามาเป็นกลุ่มคนทำงานหลักๆ ถึง 62% และคนยุคนี้กำลังมาเป็นลีดเดอร์รุ่นใหม่ขับเคลื่อนสังคมคนทำงาน ยิ่งชัดเจนขึ้นหลังช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา ทำให้มีการผลัดเปลี่ยนของคนยุคก่อนออกจากตลาดแรงงานมากขึ้น
โลกการทำงานเปลี่ยนไปตั้งแต่มิลเลนเนียลเข้ามา
เราที่เป็นหนึ่งในชาวมิลเลนเนียลเข้ามาในช่วงโลกเปลี่ยนแปลงแบบที่ใครไม่ยอมปรับตัวก็แพ้ไป ตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานจำได้ว่ากล้องฟิล์มที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นกล้องดิจิตอล ต่ออินเตอร์เน็ตจากโมเด็มเสียงตื่อดื้ดๆ เข้าไปดูว่าโลกข้างนอกเป็นยังไงผ่านหน้าจอคอมฯ เราเข้าสู่สังคมโซเชียล Hi5 คิดว่าว้าวแล้ว Facebook ยังมาแซง เปลี่ยนจากโทรคุยมาพิมพ์แชท MSN แล้วจู่ๆ สมาร์ทโฟนก็เข้ามาอยู่ในมือเราแทนแก็ดเจ็ตอื่นๆ ตอนนี้ไม่มีคำว่าพลาดดูละครตอนไหน อยากดูอะไรกดเข้าไปหาในหลายแพลตฟอร์มทุกเวลา ฯลฯ ดังนั้นคนยุคมิลเลนเนียลจะช้าและไม่ทันเทคโนโลยีไม่ได้เลย จนเป็นที่สรุปความได้ว่าคนมิลเลนเนียลเป็น digital natives กลุ่มแรก เอาเทคโนโลยีล้ำๆ มาฉันไม่กลัว พร้อมสู้หมด
พลังงานของคนรุ่นใหม่ในที่ทำงาน
วันนี้หลายๆ องค์กรโดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นแนวสตาร์ทอัพ, e-commerce หรือบริษัทที่เป็นแนวเล่นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะมีคนระดับบริหารตั้งแต่ CEO ไดเร็กเตอร์ ผู้จัดการไปจนรุ่นเอ็กเซ็กคิวทีฟปฏิบัติการมากมายอยู่ในวัย 40 ถึง 20 ต้นๆ ทั้งนั้น เกินจากนี้จะเริ่มเป็นออฟฟิศแนว traditional แล้ว ใครจะได้ขึ้นมาเป็นลีดเดอร์เลยต้องพิสูจน์ความเก่งด้วยฝีมือ และความอึดที่ต้องยกให้ เพราะงานทุกวันนี้เน้นทำกันแบบ 24 ชั่วโมงไม่ลืมหูลืมตา กลัวไม่ทันความเร็วของกระแสโซเชียลกับคู่แข่ง ในที่ทำงานจะลดขั้นตอนแบบไม่มีคำพูดที่ว่า “รอนายอนุมัติอีก 4 คน” เรื่องต่างๆ ที่เป็นปัญหาจะได้รับการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนในทีมต้อง upskill ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนที่โดนคัดออกได้ง่ายที่สุด ไม่โตและไปสมัครงานที่อื่นๆ ต่อยาก ส่วนบาลานซ์ของคนมิลเลนเนียล ถ้าคิดจะพัก คิดถึงการเที่ยวรัวๆ เห็นอีกทีวาร์ปไปนั่งชิลล์ทะเลแล้ว
ดังนั้นตอนนี้ต้องเตรียมตัวกันให้พร้อมกับสไตล์การทำงานคนยุคมิลเลนเนียลที่ทุกเจเนอเรชั่นจะต้องลงมาเจอ
หัวหน้ามิลเลนเนียลต้องเป็นโค้ชไม่ใช่แค่สั่ง เพราะเราผ่านการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ยุค Baby-Boomer และมีพี่เจน X ซึ่งเป็นคนรุ่นบุกเบิกความเจริญ สิ่งที่พวกเขาเจอเลยทำให้อยากเคี่ยวเข็ญคนยุคใหม่ซึ่งมองว่าสบายออกมาด้วยการสั่งสอนตรงๆ อยากให้ทำงานไหนก็สั่งมาแบบไม่ต้องคิด แต่ไม่ใช่สำหรับคนมิลเลนเนียลที่ผ่านความรู้สึกบีบคั้นทำให้การทำงานจะเปลี่ยนเป็นการเบรนสตอร์มระดมความคิด นั่งคุยแบบไม่เวิ่นเว้อ มีไอเดียอะไรก็บอกออกมา
บรรยากาศในการประชุมต้องไม่เครียด แล้วทุกคนจะกล้าแสดงความเห็น ตอนนี้ประชุมกัน ใครไม่พูดจะดูไม่เก๋ ดูเป็นคน passive โดนเพื่อนมองแรงใส่ หัวหน้ามิลเลนเนียลจะไม่หักกลางปล้อง เวลาที่ใครพูดอะไรมาก็จะให้กำลังใจว่า “ประเด็นนี้ดีนะ” “คำถามนี้มีประโยชน์เลย”
ดูกันที่ผลงาน คนมิลเลนเนียลจะทิ้งสเปซไม่ตามจิกอย่างบ้าคลั่ง แต่จะมองว่าคนๆ นั้นเอาผลงานอะไรออกมาตามเดดไลน์ ถ้าไม่ได้ก็ถามตรงๆ และไม่ลืมคิดว่าเขามีปัญหาอะไร ให้โอกาสแก้ไข แต่ถ้ายังไม่ได้อีก คนมิลเลนเนียลก็มีความโหดเล็กๆ ที่คนนั้นจะไม่อยู่ในสายตา ทีนี้ก็ขึ้นกับวิธีแต่ละคนว่าจะจัดการยังไง
การทำงานยืดหยุ่นและไว้ใจกัน การทำงานที่ออฟฟิศหรือ Work From Home ก็ไม่สำคัญเท่างานที่มอบหมายดีแค่ไหน เราจะเชื่อใจทีมทำงานว่าแต่ละคนมีความรับผิดชอบเป็นแบบไหน ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ไม่เหมาะกับทีมเรา
เปิดกว้างกับคนทำงานมากขึ้น ภาพที่เห็นชัดอีกอย่างคือถึงคุณจะทำงานประจำกับเรา ก็ไม่ต้องปิดบังว่ามีงานเสริมเหมือนเป็นความผิดขนาดนั้น ถ้าไม่ทำให้งานแรกเสียหายและไม่ได้ไปทำงานให้คู่แข่ง แต่ก็ไม่ใช่เปิดตัวเปิดเผยซะไม่เกรงใจงานหลักล่ะ หัวหน้ายุคมิลเลนเนียลเข้าใจว่าคุณอาจจะรับจ๊อบเบาๆ ตอนค่ำๆ ขายของออนไลน์แอบแว่บไปส่งของบ้าง นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วในบางองค์กร เพราะหัวหน้าก็มีจ๊อบของตัวเองเหมือนกัน อย่าเอ็ดไป 555555