สำหรับคนทำงานอย่างเรา ไม่มีอะไรจะทรมานไปกว่า ภาวะหมดไฟ หรือ burnout จริงๆ นะ แค่จะตื่นนอนไปทำงานในแต่ละวันก็ต้องต่อสู้กับตัวเองแทบตาย ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะนอนต่อให้มันรู้แล้วรู้รอด ไปออฟฟิศก็เจอแต่งานเดิม เจ้านายขี้บ่น ประชุมทั้งวัน แถมเวลาจะกลับบ้านก็เลิกเงินไม่ตรงเวลาอีก เป็นลูปแบบนี้วนไป แค่คิดถึงงานก็เหนื่อยแล้วจริงๆ เห้อ
แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่านี่คืออาการหมดไฟหรือที่เรียกกันว่า burnout ลองสังเกตดูว่า ถ้าเริ่มมีอาการอ่อนล่าอย่างรุนแรง เฉยๆ กับงาน ไม่อยากจะแตะถ้าไม่ใช่งานของฉัน หรือบางทีงานของฉันเองก็ไม่อยากจะทำเท่าไหร่ และทุกครั้งที่ทำงานก็รู้สึกว่าทำไมมันเหนื่อยยากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราก็ทำมันได้นี่นา การสำรวจของ Linkedin ในปี 2564 พบว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในอินเดียมีอาการหมดไฟเนื่องจากภาระงานที่มากเกินไป และอีก 34 เปอร์เซ็นต์อ้างว่าได้รับผลกระทบจากความเครียดจากการทำงานที่สูง
พูดถึงเรื่องความเหนื่อยหน่ายโดยเฉพาะความเหนื่อยหน่ายในที่ทำงาน มักถูกยกย่องว่าเป็นเรื่องของคนสู้งานที่ทุ่มเท ยิ่งเหนื่อยเยอะแปลว่าทำงานหนัก ทำงานดี แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับความรู้สึกนี้หรือไม่ก็ตาม ความเหนื่อยหน่ายในที่ทำงานนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงทั้งต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราได้เยอะมากจริงๆ แต่การหมดไฟนั้นมีทางแก้อยู่นะ ไปเจอไปว่า เราสามารถไล่อาการ burnout ให้หมดไปได้ด้วยรูทีนที่เราทำในทุกวันนี่แหละ วันนี้คลีโอเลยขอแชร์ 7 รูทีนที่ทำให้อาการ burnout หายไปได้จริง
กำหนดเวลาทำงานให้ชัด
ออฟฟิศบางทีก็คือชอบเลิกงานเลทสุดๆ อวยว่าใครกลับบ้านช้าคือคนขยันทำงาน รักองค์กร (แต่ได้เงินเท่าเดิมนะจ๊ะ) ทำให้คนทำงานอย่างเราก็ต้องทำงานหัวหมุนวนไป ยิ่งองค์กรไหนที่มีแนวคิดเวลาทำงานแบบนี้ ก็ยิ่งฝังหัวเราว่า เราต้องพร้อมทำงานให้องค์กรตลอดเวลา แม้จะเป็นเวลาเลิกงานก็ตาม ซ฿่งเป็นอะไรที่ผิดแบบสุดๆ สิ่งนี้แหละที่ทำให้เกิดอาการหมดไฟขึ้นมา เพราะเราไม่รู้จุดจบของการ่ทำงานว่าสุดท้ายมันจะเสร็จเมื่อไหร่กันแน่ เพราะงานก็เข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน
วิธีแก้คือ เราต้องกำหนดเวลาทำงานให้ตัวเราเอง เอาง่ายๆ เลย ลองหาเวลาพัก โดยที่ไม่แตะงานเลย เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เพื่อพักผ่อนสมองจากความเหนื่อยล้า ส่วนเวลาทำงาน ก็ลองแบ่งเวลาทำงาน และเวลาพัก ห้ามทำงานยาวไปทั้งวันเด็ดขาด อาจจะทำงาน 1 ชั่วโมงแล้วพัก 10-15 นาที อะไรแบบนี้ก็ได้ แต่ตอนที่พักก็ต้องห้ามยุ่งกับงานเด็ดขาดนะ
ห่างโต๊ะทำงานบ้างก็ดีนะ
ยิ่งช่วง work from home ตัวนี่แทบจะไม่ได้ห่างจากโต๊ะทำงาน เรียกได้ว่าโต๊ะเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ ทั้งกินข้าว ทำงาน ดูซีรีส์ นอน คุยโทรศัพท์ เอาเป็นว่าหมดเวลาไปกับโต๊ะทำงานไปเกินครั้งวันแน่ๆ หรือยางทีก็แทบจะทั้งวันด้วยซ้ำ การที่เรานั่งแช่อยู่ที่โต๊ะทำงานทุกวันนี่แหละ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเบื่อเหนื่อยกับการทำงาน ถึงแม้ว่าจะทำงานอยู่ที่บ้านก็ตาม เพราะฉะนั้น ลองออกไปพักสายตา ยืดเส้นยืดสาย ลุกแแกมาให้ห่างจากโต๊ะทำงานบ้าง จะได้ไม่เบื่อเกินไป
แพลนไปเที่ยวบ้าง อย่าทำแต่งาน
มีรายงานของของ PTI บอกไว้ว่า การลาประจำปีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ถึง 40% ลดโอกาสการลาป่วยได้ 28% เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ให้กับงาน เป็นมิตรต่อสุขภาพจิต และช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีอาการเหนื่อยหน่ายได้ดีมาก เพราะฉะนั้นพนักงานควรได้รับการหยุดพักผ่อนและลางานบ้าง แต่เอาเข้าจริง หลายคนก็ไม่ได้ใช้วันหยุดพักร้อนเพราะกลัวว่าจะถูกตำหนิหรือถูกมองว่า ‘ทำงานหนักไม่พอ’ ทำให้มีความคิดฝังหัวว่า พวกเขาไม่สามารถแยกจากงานได้จริง เลยเกิดการทำงานแบบไม่มีที่สิ้นสุด
การทำงานแบบไม่มีวันหยุดพักอาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนล้าได้ง่าย ลองพักร้อนแล้วเที่ยวให้ฉ่ำๆ ดูบ้าง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสมคสรจะได้รับมันจริงๆ
ทำ to-do list แบบเรียลๆ ให้ตัวเอง
ลองเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงสามหรือสี่อย่างพอ อย่าลิสต์เผื่อวันพรุ่งนี้และวันอื่นๆ ในสัปดาห์ เพราะมันจะทำให้รู้สึกว่างานเยอะเกินไป และสุดท้ายก็จะเบื่อและเหนื่อยเอง
เรียนรู้ขีดจำกัดของตัวเอง
ก่อนที่จะเหนื่อย เราต้องรู้ก่อนว่าแค่ไหนถึงจะทำให้เราเหนื่อย เพราะฉะนั้น ลองเรียนรู้ขีดจำกัดของตัวเองว่าเราสามารถทำงานได้มากสุดแค่ไหน ถ้ารู้สึกงานมันโหลดเกินไป เราต้องหยุดทำงานทันที
หาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที
อย่างที่รู้ๆ กันว่า การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันสามารถช่วยให้แข็งแรงขึ้นได้ นอกจากเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย คนที่มีงานประจำควรแบ่งเวลาออกกำลังกายในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นการออกกำลังกายง่ายๆ ก็ยังดีกว่าไม่ออกเลยนะ ลองออกไปเดินเล่นหรือวิ่งเบาๆ เล่นฮูลาฮูปอะไรแบบนี้ก็ได้เหมือนกัน
อ่อนโยนกับตัวเองบ้าง
เวลาที่ทำงานหนักไป ก็อย่าลืมอ่อนโยนและใจดีกับตัวเองบ้างนะ ทำตัวหย่อนยานบ้างก็ได้ อย่าโทษตัวเองบ่อยนักเลย
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO