ข้อหนึ่งของการลาออกจากสาวๆ หลายคนที่กำลังจะโบกมือลางานที่ทำ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน ปัญหาเรื่องคนแต่เป็นการต่อสู้ข้างในที่รู้สึกว่างานนี้เราไม่มีแพชชั่นอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอะไรให้เราอยากเรียนรู้อีก ถ้าความรู้สึกนี้ชัดเจนที่สุดตอนไหน แววใบลาออกลอยมาแต่ไกลเลยล่ะ เพราะความอยากรู้อยากสนใจเรื่องต่างๆ เป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่ผลักดันให้เราเกิดความสำเร็จได้ แปลว่าเรายังมีทางไปต่อในงานนั้นอยู่
มีงานวิจัยออกมายืนยันหลายที่เลยว่าการเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมทั้งเรื่องรอบตัว เป็นผลดีกับตัวของคนนั้น อย่างถ้าในที่ทำงาน การเป็นคนอยากรู้ช่างถามจะเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในงาน อยากให้งานดีขึ้น เราจะหาวิธีว่ามีทางไหนบ้าง ให้เราสนุกกับงานและลดความเสี่ยงที่จะเบิร์นเอาท์ เพราะทุกวันจะมีพลังในการลุกขึ้นมาหาคำตอบกับงานที่ทำตลอดเวลาแล้วยังมีข้อดีอื่นๆ อีกอย่าง…
ความจำดี
ความอยากรู้เป็นความกระหาย เมื่อหิวแล้วก็ต้องเติม ไม่ว่าจะไปถามคนที่รู้หรือเสิร์ชในกูเกิ้ลเอาดื้อๆ นี่แหละ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มีการสแกน MRI สมองของคนที่อยากรู้เรื่องต่างๆ เห็นได้ชัดว่าสมองเตรียมพร้อมที่จะฟอร์มตัวเองด้วยการเชื่อมโยงระบบประสาทเอาไว้ให้รับข้อมูลสำคัญและฝังเอาไว้ในความทรงจำ แถมยังหลั่งโดพามีน สารที่หลั่งเวลาเราฟินๆ และมีความสุขออกมาพร้อมกัน พออยากรู้แล้วมีอะไรมาตอบโจทย์เลยทำให้รู้สึกว่าเหมือนเราได้รางวัลบางอย่างกลับคืนมา
อยากรู้ทำให้เราอยากรอ
ยังมีอีกการศึกษาหนึ่งจากมหาวิทยาลัยดุคในรัฐนอร์ทคาโรไลน่าบอกว่ายิ่งเราอยากรู้อะไรมากเท่าไหร่ คนจะตั้งใจรอเพื่อหาคำตอบนั้น และอดทนแก้ไปทีละส่วนกับปัญหาที่ยากๆ ไม่ท้อไปซะก่อน แล้วสุดท้ายก็เราจะเห็นคุณค่ากับช่วงเวลาที่ได้หาคำตอบด้วยตัวเองว่ากว่าจะได้ความสำเร็จนั้นมา ต้องทุ่มไปสุดตัวแค่ไหน แต่พิสูจน์แล้วว่ายังไงผลลัพธ์คุ้มกับเวลาที่เสียไปแน่นอน
รู้สึกมีส่วนร่วมกับงานและกล้าจะเปิดใจ
อีกข้อสรุปจากอาจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสันอย่าง ศ.ท็อดด์ แคชดัน บอกถึงข้อดีของการอยากรู้ว่ายิ่งอยากรู้ เราจะยิ่งฟังความเห็นของคนอื่นมากขึ้น ถึงแม้เป็นความคิดเห็นที่ต่างกับเรา ในใจจะลดอคติลงเพื่อฟังมุมต่างๆ ไม่ชวนทะเลาะหรือตัดสินเอาความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วบุคลิกแบบนี้ทำให้ออฟฟิศน่าอยู่เลยนะ เพราะเราไม่กลัวที่จะถาม อยากลองความรู้ความเชื่ออะไรใหม่ๆ คอยแก้ปัญหา เป็นคนสร้างวิธีการทำงานที่ทุกคนสบายใจเวลาเข้าประชุมหรือต้องดีลงานด้วย เป็นการทำงานแบบดรีมทีม ไม่ใช่อยู่กันไปวันๆ
ความยากคือความอยากรู้จะมาพร้อมความเชี่ยวชาญ พอเรารู้ทุกอย่างแล้วความท้าทายจะค่อยๆ ลดลง คนที่อยากรู้บางคนอาจจะพยายามตั้งโจทย์ใหม่ๆ ในชีวิตที่ต้องไปแตะเป้านั้นให้ได้ แต่ถ้างานนั้นไม่พาไปข้างหน้า หัวหน้าไม่รู้ศักยภาพลูกน้อง หรือที่ทำงานไม่สร้าง career path ที่ดีพอ ก็อาจเอาคนที่ชอบเรียนรู้ไว้ไม่อยู่ ดังนั้นคนที่อยากรู้ต้องรักษานิสัยนี้ของตัวเองต่อไป เพราะนั่นคือไฟที่สำคัญของคนรักการทำงาน