เมื่อถึงคราวที่เราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตที่เข้ามาทำให้เจ็บปวด เศร้า หรือทำให้ จิตใจเปราะบาง จะทำให้เราได้รู้ว่า ยังมีใครที่อยู่ข้างๆ เราจริงๆ
เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ สาวคนหนึ่งที่เราได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตคู่และความรักของเธอที่แม้ต้องเผชิญกับสิ่งใดๆก็ตาม พวกเขายังมีกันและกันเสมอ
เนื่องจากไม่สามารถลงรูปพวกเขาได้ ต่อไปนี้จะขอแทนผู้หญิงว่าน้องบี แล้วผู้ชายว่าน้องซันแล้วกัน น้องบี เป็นผู้หญิงที่น่ารัก ร่าเริงสดใส ช่างพูด ส่วนผู้ชายน้องซันเป็นคนสุภาพ สุขุม พูดน้อย แต่จะเป็นคนพูดเยอะเมื่ออยู่กับน้องบี ถ้าดูภายนอกเราแทบดูไม่ออกเลยว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นพวกเขาต้องเจอเรื่องราวอะไรกันมาบ้าง แล้วอะไรที่ทำให้พวกเขายังอยู่เคียงข้างกัน
น้องบีเล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วตอนที่น้องบีคบกับน้องซันใหม่ๆ ก็เหมือนวัยรุ่นปกติที่ออกไปกินข้าว ไปคาเฟ่ “เขาเป็นคนที่ใส่ใจเรามาก เคยรถเสียอยู่ต่างจังหวัดแค่โทรหาเขาก็บึ่งรถมารับเลย ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงให้ต้องระแวง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคยพูดคำหยาบหรือด่าเราเลยสักครั้ง ในทุกวันครบรอบจะทำของ handmade หรือพาไปกินข้าวอร่อยๆ ทำทุกอย่างเพื่อเราโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ เราอยู่กับเขาบอกเลยว่าสบายใจมากๆ ค่ะ” แล้วทั้งคู่ก็ดำเนินชีวิตอย่างปกติ นอกจากเรื่องเรียนก็แทบจะไม่มีอะไรให้ต้องปวดหัวเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิต…
“ต้องเกริ่นก่อนว่าปกติแล้ว ซัน จะอยู่บ้านกับแม่เพราะว่าพ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่เด็กๆ แม่เขาเป็นคนที่น่ารักมาก รักเราเหมือนลูก เราเข้ากันได้ดี ถ้ามีเวลาก็จะกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เราก็รักแม่ของซันมากเช่นกัน แต่แล้ววันหนึ่งพวกเราก็รู้ว่าแม่ของซันเป็นมะเร็ง.. และเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ไม่มีใครตั้งตัวทัน วันหนึ่งแม่ทรุดแล้วก็จากไป” นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซันเปลี่ยนไป..

“เขารักแม่มากๆ ค่ะ หลังแม่จากไป จากที่เราไม่เคยเห็นน้ำตาของเขาเลย เราก็ได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่เห็นได้ชัดเลยคือเขาจะนิ่งเฉย ไม่แสดงสีหน้าเลยอารมณ์ใดๆ ทั้งตอนดีใจหรือเสียใจ ถึงจะยิ้มก็ดูฝืนๆ แล้วก็ในเรื่องความรักเขาก็ไม่หวานเหมือนเก่า และอีกหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไป ตัวเราเองเห็นแบบนั้นมันก็รู้สึกไม่ค่อยดี เราก็บอกเขาว่าเราอยู่ข้างๆ เขาเสมอนะ เราคิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา เราเลยพยายามชวนเขาออกไปเที่ยว ไปกินชาเขียวที่เขาชอบ ไปออกกำลังกาย หากิจกรรมอะไรทำเสมอเพราะเรากลัวเขาจะเป็นซึมเศร้า และบอกเขาเสมอว่าเราอยู่ตรงนี้นะ จนวันหนึ่งที่เขาระเบิดสิ่งที่อัดอั้นมานานให้เราฟัง ขอโทษเราที่ผ่านมาที่เขาเหมือนท่อนไม้เดินได้ ไม่ได้มีความหวานอะไรใดๆ ให้เราเลย ซึ่งบางคนอาจจะทนไม่ไหวแล้วก็ต้องบอกลากันไป แต่สำหรับเราแล้ว
“ เรารู้สึกว่ามันคือช่วงเวลาที่เราต้องอยู่ข้างๆ เขา เราแค่อยากเห็นเขากลับมามีความสุขเหมือนเมื่อก่อน เท่านั้นเอง” เธอเล่า ซึ่งเวลาผ่านไปซันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือะไร หลังจากที่ซันค่อยๆ ดีขึ้นตัวเรานี่แหละกลับมาเป็นอะไรก็ไม่รู้” เธอกล่าว “บีต้องไปหาจิตแพทย์ เพราะว่ามีอาการเหมือนคนกลัวตาย อยู่ดีๆ ก็จะใจสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเหมือนจะวูบ ซึ่งหมอบอกว่าเราเป็นแพนิก” เธอเล่าว่าช่วงที่อาการกำเริบ แล้วตัวเองอยู่คนเดียวก็จะโทรหาซัน เขาจะรับสายและถามทุกครั้งว่าให้ไปหามั้ย แม้ว่าเขาทำงานอยู่ก็จะหาทางออกมาเพื่อมาอยู่ข้างๆ ให้เธอสบายใจ คอยไปส่งหาจิตแพทย์ เตือนเสมอเรื่องกินยา “ช่วงแรกๆ ที่เป็นบอกเลยว่าอาการแย่มาก ต้องโทรหาเขาค้างไว้ แล้วเวลาที่จู่ๆ อาการกำเริบไม่ว่าจะตอนไปเที่ยวแล้วเรารู้สึกไม่ดี เขาจะอยู่ข้างๆ คอยบอกให้เราหายใจเข้าลึกๆ เล่าเรื่องตลกบ้างให้เราไม่โฟกัสกับแพนิกแล้วก็ทำให้เราผ่อนคลาย พยายามหาทางต่างๆ ให้เราดีขึ้น”
“เขาเข้าใจสิ่งที่เราเป็นและกำลังเผชิญอยู่ ไม่ได้มองว่าเรางี่เง่าหรือรำคาญเราเลย” เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม จากวันนั้นถึงวันนี้น้องอาการแพนิกของน้องบีดีขึ้นมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ในใจก็รู้สึกขอบคุณเขา

ผ่านไปสักระยะทุกๆ อย่างเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่สุดท้ายก็มีพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำเข้าใส่ทั้งคู่อีกรอบ “ อันนี้ถ้าเล่าไปอาจจะรู้สึกเหมือนละคร แต่มันคือเรื่องจริงที่ไม่ตลกเลย ตั้งแต่ที่แม่ของซันเสีย เขาต้องย้ายไปอยู่กับพ่อ ซึ่งพ่อก็ได้มีภรรยาใหม่ พ่อของเขาทำธุรกิจค่อนข้างมีฐานะ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ดีใช่มั้ยคะ แต่ไม่เลย.. วันหนึ่งพ่อของเขาชวนเราและซันไปกินข้าวด้วยกัน ก็จะมีทั้งพ่อ ภรรยาใหม่พ่อ พี่ชายของซัน เราและซัน หลังจากที่ไปกินข้าวที่ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี แต่หลังจากวันนั้น ซันก็เดินมาคุยกับเราบอกว่า ภรรยาใหม่พ่อไม่โอเคกับเราทำให้พ่อก็ไม่โอเคไปด้วย เราก็ถามลึกลงไปซันเลยเล่าให้เราฟัง ใจความหลักๆ คือเขาบอกว่าภรรยาใหม่ของพ่อบอกว่าเราดูไม่เคารพเขา อ่าวว เราก็งงเลย คือเราก็ไหว้เขาแล้วก็กินข้าวแบบปกติทุกอย่าง ไม่ได้ทำหรือพูดอะไรที่ไม่ดีเลยจริงๆ เราโทรไปคุยไปถามก็แล้ว ได้คำตอบมาแค่ว่าเราไม่เคารพภรรยาใหม่เขา เราดูหยิ่ง… นอกจากนั้นยังมีคำดูถูกสารพัดที่บอกเลยว่าเราเจ็บสุดๆ และเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากพ่อของคนที่เรารัก ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้ไปเจอกับพ่อเขาอีกเลย ในใจลึกๆ เราเสียใจมากนะ ตอนที่แม่ของซันยังอยู่เรามีความสุขมากจริงๆ และเคยคิดอยากให้เป็นภาพแบบนั้นเหมือนกันกับพ่อเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นรึเปล่า.. เวลาผ่านไป ต่างคนก็ต่างอยู่ไม่ได้ยุ่งอะไรใดๆ กันเลย “หลายคนอาจบอกว่าไม่อึดอัดหรอ ไม่คิดจะเลิกกันบ้างหรอเพราะครอบครัวมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งเลยนะ แล้วถ้าจะแต่งงานมาจะทำยังไง และอีกหลายๆ คำถามที่เข้ามา แต่เราคิดว่า เรารักเขาจริงๆ พร้อมที่จะจับมือฝ่าฟันทุกอย่าง เราคิดว่าทุกปัญหามีทางออก และไม่คิดจะเลิกกันถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนอกใจ เราก็เคยถามเขานะว่า ถ้าวันนึงพ่อบอกให้เราเลิกกัน เธอจะเลิกมั้ย? และสิ่งที่เขาตอบคือ ไม่เลิกและไม่มีเหตุผลอะไรต้องเลิก ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาจับมือเราแล้วบอกให้เชื่อในตัวเขา เพราะว่าถึงแม้ครอบครัวจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก แต่สุดท้ายจริงๆ แล้วเราทั้งสองคนเป็นคนที่เริ่มและสร้างความรักนี้ขึ้นมา โดยที่ครอบครัวแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรักของเราเลย เพราะฉะนั้นความรักของเราก็จะขึ้นอยู่กับเราทั้งสองคน ” ซึ่งทุกวันนี้ทั้งคู่ก็รักกัน ดูแลและอยู่ข้างๆ กันเสมอ
คลีโอขอขอบคุณเรื่องราวของบีและซัน เป็นเรื่องราวที่แม้จะเจอกับเรื่องร้าย หรือปัญหาอะไรก็ตาม ก็ยังมีเรื่องดีที่อย่างน้อยก็รู้ว่าในวันที่คุณเหนื่อย ท้อหรือเศร้า มองไปก็ยังมีใครสักคนที่อยู่ข้างๆ มีใครสักคนที่รับฟังเสมอ จริงใจต่อเรา เป็นรักที่ต่างคนต่างอยากเห็นอีกฝ่ายมีความสุข คู่รักแต่ละคู่อาจมีปัญหาหรือสิ่งที่ต้องเผชิญต่างกัน แต่เราเชื่อว่าทุกคู่สามารถผ่านพ้นไปได้ขอเพียงยังเชื่อมั่นในกันและกัน และสิ่งที่สำคัญเลยคือ “ความรัก” ที่มีให้กันนั่นเอง
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่: