คลีโอเคยเจอคุณแป๊ะ เมื่อตอนเขาเป็นหนุ่มคลีโอ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกันมาก ไม่รู้เลยว่าผู้ชายสูง ขาว หน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลาคนนี้ เขาจะมีเรื่องราวชีวิตที่สู้ยิ่งกว่า “ผมทำทุกอย่างที่ทำได้ เด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ยืนขายอะไรก็ได้ ผมไม่อาย ผมทำหมดครับ” ไม่ใช่เพียงแค่ต่อมสู้ของเขาเท่านั้นนะ แต่แป๊ะยังเป็นคนที่ให้กำลังใจคนเป็น มีแรงใจที่ดี ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญกับอะไร แป๊ะมักจะมีประโยคที่เขาชอบพูดว่า “โชคดีที่….” พ่วงด้วยเสมอ เขามองทุกสิ่งที่ได้รับเป็นความโชคดี ถึงแม้จะมีความยากลำบากผสมอยู่ในนั้นด้วยก็ตาม
แป๊ะ วรกฤต สกุลเลี่ยวคือผู้ชายอายสามสิบต้น เจ้าของร้านกะเพราตาแป๊ะริมถนนอโศก ธุรกิจที่เขาบอกว่า “เหมาะกับผมที่สุดครับ” และสร้างรายได้ ความมั่นคงจนเป็นที่รู้จัก ทั้งรู้จักในตัวเขา และรสชาติกะเพราของเขา ร้านกะเพราเล็กๆ ร้านนี้ไม่ได้มาแบบง่ายๆ แต่ผ่านการทำงานหนักของผู้ชายคนนี้มาตลอด แป๊ะสร้างมาคนเดียว เรียนรู้เอง ลองผิด ลองถูก แพ้บ้าง ล้มบ้าง และเขาเองนี่ล่ะ ที่ให้กำลังใจตัวเองมาตลอด แป๊ะเริ่มเล่าเรื่องให้เราฟังจากประโยคว่า
“บ้านผมล้มละลายครับ”
เขาโตมาในครอบครัวอบอุ่น แต่เกิดภาวะการเงินที่ทำให้แป๊ะต้องเริ่มหาเงินเรียนมหาวิทยาลัยเองตั้งแต่ตอนนั้น “ผมเลือกเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะผมดูแล้วว่าหน่วยกิตถูกที่สุด” แป๊ะเลือกเอนทรานซ์เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล มหาวิทยาลัยขอนแก่น เขาย้ายไปอยู่ที่นั่น อยู่หอพักนักศึกษา เป็นความตั้งใจที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต เขาจะต้องเรียนให้จบปริญญาตรีให้ได้ “ผมคำนวณแล้วว่าค่าหอ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ผมต้องมีเดือนละ 5,000 เป็นอย่างต่ำ ผมคิดว่าหาเงินได้แน่นอน น่าจะรอด”
แป๊ะเข้ามหาวิทยาลัยและทำงานไปด้วย เขาเป็นเด็กเสิร์ฟ เด็กล้างจาน และครูสอนว่ายน้ำ “โชคดีที่พ่อกับแม่ให้ผมเรียนว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก เลยสอนเกือบทุกวัน ก็เลยหาเงินได้วันละ 600 บาท พอเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด” แป๊ะใช้ชีวิตไม่ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่นิดเดียว เขาเรียน ทำงาน เก็บเงิน ถึงชีวิตจะเปลี่ยนจากที่เคยเป็นตอนเด็กๆ มาก แต่เขาก็ถือว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ “ชีวิตเปลี่ยนมาก เพราะเด็กๆ ไม่เคยต้องดิ้นรนหาเงิน เมื่อก่อนอยากได้อะไร อยากกินอะไร พ่อกับแม่จะหามาให้หมด พอสถานการณ์เปลี่ยน ถ้าเราไม่ทำอะไร ก็จะเหมือนหมาจนตรอก เราจะไม่มีข้าวกิน ไม่มีเงินเรียน มันเลยบังคับให้ต้องทำทุกอย่างให้รอด”
ถามแป๊ะว่าชีวิตต้องลำบากขึ้นขนาดไหน เขาบอกว่า
“เหมือนในละครครับ มีวันหนึ่งเราไม่มีเงินกันเลย แต่ต้องจ่ายค่าไฟ เราเลยไปเอากระปุกหมูที่หยอดๆ กันมา มานั่งกันพ่อแม่ลูกกับพื้น แล้วเอากระปุกวาง ทุบ นับเหรียญ นับแบ๊งค์ แบ่งไปว่าอันนี้ค่าไฟ อันนี้ไปใช้ตรงนี้ อันนี้ไปกิน”
จุดนี้ที่แป๊ะจะเอามาคอยบอกกับตัวเองเสมอว่า “เหนื่อยแค่ไหนผมไม่กลัวนะ ผมจะไม่กลับไปวันนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นผมเลยทำทุกอย่างที่ทำได้ ไม่อาบเลย จะให้ยืนขายอะไรผมก็ทำได้หมด เหนื่อยตื่นมาก็หาย แต่ถ้าไม่มีเงินมันหนักมาก”
ชีวิตที่ขอนแก่นสำหรับแป๊ะเขาบอกว่าดีมาก โชคดีที่เพื่อนๆ ดีหมด แล้วเขารู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่มาอยู่ เขายังมีความสุขดี เป็นความสุขง่ายๆ ใกล้ตัว ที่ไม่ได้หายากอะไร แป๊ะบอกว่า “อย่าไปทำให้มันยาก มันอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ง่ายมากด้วย”
ภาพจำและความตั้งใจของเขาทำให้แป๊ะเมื่อเรียนจบเรียบร้อย เขาก็หางานทำ ได้งานที่แรกที่สมัครตามสายงานวิศวะกร เขาทำงานเกี่ยวกับระบบสื่อสารโทรคมนาคม เงินเดือนแรกที่ได้คือ 8,230 บาท แป๊ะเริ่มเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้น “ผมใช้ 5,000 บาท เก็บไว้ช่วยที่บ้าน และเก็บไว้เผื่อทำอะไร” แป๊ะทำงาน กลับบ้านทุกวันๆ เพื่อซื้อบ้านที่ธนาคารยึดไปกลับมา
“พี่สาวผมสองคนช่วยที่บ้านมาตลอด ผมคิดอย่างเดียวว่าถึงตาผมแล้ว พ่อแม่ดูแลพวกเรามาดีมากตั้งแต่เด็กจนยี่สิบกว่าปี เขาไม่เคยให้เราอด เขาทำให้เราเต็มที่ มันคือเวลาที่ต้องมาช่วยกันมากกว่า เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้ว”
แป๊ะทำงานประจำไปสี่ปี จากเงินเดือนแปดพันกว่าบาท เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาที่ห้าหมื่นบาท เขาได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของบริษัท ได้ถูกส่งไปทำงานที่เวียดนาม เขาไปเซ็ตอัพออฟฟิศที่นั่นคนเดียว จนเข้าใจการสร้างระบบการทำงาน เมื่อแป๊ะกลับมาคราวนี้ล่ะที่เขาคิดว่าน่าจะมีธุรกิจของตัวเองได้แล้ว แต่ธุรกิจของแป๊ะไม่ได้ภาพฝันอะไรนะ เขาทำอะไรที่ไม่ยาก และทำได้เลย แป๊ะไปเปิดรถเข็นขายลูกชิ้นปลาระเบิดแถวอ่อนนุช “ผมเริ่มจากลูกชิ้น 10 กิโลก่อน ลงทุนไป 25,000 บาท ได้รถเข็น ชุดทอด ก็ไปขายกลางคืนเลย ปรากฏว่าเราชอบแฮะ ชอบน้ำมันร้อนๆ น้ำมันกระเด็กไม่มีหลบนะ สนุกดี” แล้วลูกชิ้นของเขาก็ขายดีจนมีลูกค้าประจำมายืนรอกินแล้วบอกเขาว่า “ลูกชิ้นพี่โคตรอร่อยเลย”
“ผมมีความสุขอยู่ข้างในเลยนะ เป็นจุดที่ผมเปลี่ยนอีกครั้งเลย แล้วคิดว่าทำไมเรามีแรงมาขายลูกชิ้นนะ ทำงานมาทั้งวัน เรายังเปิดร้านขายได้ด้วย”
จิตใจแป๊ะเริ่มไปที่อาหารก็จากรถเข็นลูกชิ้นทอดนี่ล่ะ เขาเริ่มมองต่อไปแล้วว่าจะขายอะไรดี ระหว่างนั้นเขาขยายธุรกิจเพิ่ม ทำรถเข็นลูกชิ้นทอดเป็น 5 ร้านไปด้วย จนเขามาเจอว่าแถวปากน้ำ สมุทรปราการคนเยอะ แล้วคนขายทุกอย่าง ยกเว้นยังไม่มีกระเพาะปลาอร่อยๆ “ผมเลยคิดสูตรขึ้นมาเองแล้วไปเปิดเป็นร้านข้างทางเลย เราถนัดแบบนี้ล่ะ ตัวตนเราก็มาจากแบบนี้” แป๊ะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ แล้วไปขายกระเพาะปลา
เขาไปซื้อของตอนหลังเที่ยงคืน กลับมานอนตอนตีสาม หกโมงเช้าตื่นเตรียมทำ แล้วเย็นๆ ไปเปิดร้าน เขาทำแบบนี้ทุกวันจนพอเข้าเดือนที่แปด ร้านเริ่มขายดีมีลูกค้าประจำ แล้วพอเวลาผ่านไปหนึ่งปี แป๊ะเลยเลิกทำลูกชิ้นปลาทอด มาขายแต่กระเพาะปลาอย่างเดียว มาถึงตอนนี้เป็นอีกช่วงเวลาที่แป๊ะลองเลี้ยวไปทำธุรกิจด้านอื่นบ้าง เขาทำครีมทาหน้าขายออนไลน์ ทำเสื้อผ้าขาย แต่ปรากฏว่าไม่เวิร์ค พังหมด เขาเลยคิดว่าขอกลับไปหาสิ่งที่ถนัดคือ อาหาร แต่เขามาพร้อมเป้าหมายที่ตั้งไว้ใหญ่ขึ้นแล้ว
“ผมอยากทำอาหารให้คนทั้งประเทศได้กิน”
เขาได้โจทย์ให้ทำอาหารไปส่งในสาขาต่างๆ ของเครือบริษัทอาหารใหญ่ระดับประเทศแห่งหนึ่ง แป๊ะลองส่งกระเพาะปลาแช่แข็งเป็นอย่างแรก แต่ไม่ผ่าน ลองส่งขนมถ้วยที่เขาต้องลองทำถึง 4 รอบ จนไปเจองานวิจัยกับประโยคเดียวเกี่ยวกับแป้งในการทำแบบแช่แข็ง เขาผ่าน และได้ขายเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก แป๊ะค้นคว้า หาความรู้เรื่องอาหารไปหลายเมนู ส่วนใหญ่แป๊ะบอกว่า “เสนอแล้วไม่ผ่านครับ” ผ่านไปหนึ่งปีแป๊ะเลยคิดว่า ลองทำข้าวกะเพราหมูส่งแล้วกัน เขาคิดง่ายๆ ว่าใครๆ ก็ชอบกินกะเพรา และเขาได้ส่งข้าวกระเพราะหมูให้คนไทยกินกันทั่วประเทศได้แล้ว
หลังจากนั้นแป๊ะเริ่มลองอยากทำอะไรที่เป็นเทรนด์บ้าง เขาลงทุนกับเพื่อนไปเปิดร้านคาเฟ่ ทำขนมแพนเค้กญี่ปุ่น แปะบอกว่า “อร่อยนะ แต่ต้องยอมรับเลยว่าผมไม่เก่งสายคาเฟ่ เพราะต้องเล่นกับเทรนด์ตลอดเวลา” ร้านขนมของเขาต้องปิดตัวลง และแป๊ะเสียเงินที่ลงทุนไป ถามเขาว่าเสียดายเงินไหม “เสียดายครับ แต่ก็ได้รู้มากกว่า รู้ว่าอะไรไม่เหมาะกับเรา และอย่างน้อยเราได้เรียนรู้ครับ” แป๊ะเอาประสบการณ์ไปปรับปรุง แล้วหันมามองอะไรที่เป็นตัวเขาเองจริงๆ
“ผมคิดเลยว่าผมถนัดอะไร เราอยากสื่อความเป็นตัวตนเราแบบไหน แล้วสรุปเลยว่าผมอยู่กับการทำกะเพราข้างกล่องมา 6 ปีแล้ว รู้ทุกซอกทุกมุม ก็เลยคิดว่าเปิดร้านขายกะเพรา แล้วใส่ความรู้ทุกอย่างที่เราสั่งสมมาสิบกว่าปีนี่ล่ะให้หมด”
แป๊ะพัฒนาสูตรกะเพราของเขาอีก และเลือกกลุ่มคนทำงาน ราคาไม่แพง กินได้ทุกวัน ร้านกะเพราะตาแป๊ะกลางถนนอโศกจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขาทำเองทั้งหมด ผัดขายเอง เทรนเด็กในร้านเอง เขายืนผัดขายตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นทุกวันเป็นเวลาสองปี และกำลังถ่ายทอดวิชาให้กับน้องๆ ในร้าน ภายในเวลาไม่นาน กระเพราะของแป๊ะก็ติดใจคนทำงานแถวนั้น และคนอื่นๆ ทั้งบล้อกเกอร์ คนดัง รายการต่างๆ ก็ไปเชียร์เขากันอย่างมาก
วันนี้แป๊ะขายกระเพราะ ทำอาหารส่งขาย และเป็นนายแบบ เป็นแขกรับเชิญในรายการด้วย เขาเป็นอะไรมาเยอะแยะก็จริง แต่เราว่าเขาคือนักสู้ สู้มาจากความลำบากจริงๆ เกิดเป็นการเรียนรู้ และสั่งสมออกมาเป็นประสบการณ์ จนเป็นองค์ความรู้ และความชำนาญของเขา ถามแป๊ะว่าสิ่งที่ผ่านมาเรื่องที่ต้องพังไปบ้าง เสียเงินก้อนใหญ่ไปบ้าง แป๊ะรู้สึกยังไง
“ผมรู้ว่าธุรกิจก็เป็นแบบนี้ล่ะ ถ้าที่ผ่านมาผมไม่เคยเจ๊งมาก่อน ผมคงไม่มาไกลขนาดนี้ ทุกอย่างมันถูกนำมาใช้หมดเลย เหมือนเราปลูกต้นไม้ ตอนแรกไม่เห็นผล แต่พอ 5 ปีผ่านไป ก็เริ่มมีรากฐาน ออกดอกออกผล แล้วมันจะให้เรามาเรื่อยๆ”
สิ่งหนึ่งที่เขาเป็นคือ “ผมไม่นอยด์นะ แต่จะลุกให้เร็ว เพราะถ้าลุกไม่เร็วพอ โอกาสมา เราจะคว้าไม่ทัน” จากวันแรกที่แป๊ะมีเงินศูนย์บาท สิบปีผ่านไปเขาสร้างตัวเองจนมีกำไรต่อเดือนหลายแสนบาทได้ ความเป็นอยู่และทุกสิ่งทำให้เขาและครอบครัวมีความสุขกันแน่นอน แต่คนอย่างแป๊ะเขาไม่ขอเลือกความสุขที่มากล้น หรือเหมือนฝัน เขาบอกว่า “ครอบครัวเรามีความสุขธรรมดาๆ ครับ บ้านเรายังไม่รวย แต่ผมว่าผมโชคดีที่บ้านเราเป็นแบบนั้นนะ เพราะไม่อย่างนั้นเราคงไม่แข็งแรงเท่านี้”
ในทุกสิ่งที่เป็นแป๊ะ เขาบอกเรามาอีกว่า “พยายามเท่านั้นครับ แรกๆ อาจจะยังไม่เห็นผล แต่อดทนไปครับ พยายามให้มากล้นกว่าใครให้ได้ ท้อได้บางครั้ง แต่พรุ่งนี้มีอะไรรอเราอีกเยอะมาก เราอาจพลาดสิ่งดีๆ ไป แต่อย่าเอาสิ่งดีๆ ไปผูกกับเงินอย่างเดียว เพราะมันมีทั้งความสุขง่ายๆ คนที่เรารักด้วย เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงใจให้เราดีกว่า เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสดีๆ ต่อไป ร่างกายก็ต้องพร้อมลุย เก็บแรงให้เยอะที่สุด เพื่อโอกาสนั้น แล้วถ้ามันมัน เราจะไม่พลาด อย่าตีกรอบให้ตัวเองด้วย อย่างผมถ้าเป็นแค่วิศวกร ผมอาจไม่มีวันนี้ก็ได้”
“ที่สำคัญมากๆๆ คือกำลังใจครับ เราต้องให้กำลังใจตัวเองตลอดจริงๆ เราต้องคิดว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่อยู่บนความเป็นจริงนะ ในตอนแรกทำคนเดียวไปก่อน เรียนรู้ในแบบของเรา แล้วพอได้เข้าไปในธุรกิจจริงๆ เราจะรู้ว่าถ้าเราอยากโตขึ้น เราจะทำคนเดียวไม่พอ ต้องมีหุ้น เราก็จะรู้ว่าเราจะเลือกหุ้นส่วนแบบไหน ปัญหาคืออะไร เราต้องมีแนวคิดของตัวเอง มีแกนที่ชัด เพราะอาจมีคนหลายคนทำให้เราเขว”
“แล้วหลังจากนั้นเราจะเอาประสบการณ์ที่สั่งสมมา มาใช้อย่างเป็นธรรมชาติเอง ตัวตนเราจะแน่น ยังมีอยู่ทั้งหมด แต่เราบิดทุกอย่างไปตามสิ่งที่เราเรียนรู้ ก็จะสนุกและลงตัว แล้วเราจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ครับ”
คลีโอขอขอบคุณเรื่องราวและกำลังใจจากคุณแป๊ะ วรกฤต สกุลเลี่ยว จากใจ และขอให้เป็นเรื่องราวที่สร้างกำลังใจ และอินสไปร์ใครอีกหลายๆ คน
สนใจลองกะเพราตาแป๊ะ ที่นี่เลย
ซอยประสานมิตร ถนนสุขุมวิท พิกัด : https://goo.gl/maps/sBCn6sEwGURoTHEw9
โทร: 065 3965291 Facebook.com/kapraotapae Line: @kapraotapae