สิ่งที่คุณจะทำคือ…
เอาเป็นว่าตอนนี้รู้แล้วว่าการได้เพื่อนร่วมงานดีเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ เพราะในชีวิตนี้คุณอาจจะได้เจอคนร่วมงานเพี้ยนๆ (ขอไม่เรียกว่าเพื่อนร่วมงานนะ colleague ดีเกินไป เป็น coworker ก็พอ) ความพังที่เขาได้กระทำกับเราและคนอื่นเรียกว่าคนเขียนหนังสือ How-To อาจจะต้องอยากเก็บเป็น case study เลยทีเดียวว่าทำไมรวมนิสัยแย่ๆ เอาไว้ในคนเดียวได้มากขนาดนี้
ประสบการณ์จริงที่เราได้เจอมาและอยากแชร์เพื่อเป็นหนทางเวลาที่เจอคนแบบนี้แล้วมันตัน มันท้อ อยากเดินเข้าไปลาออกซะเดี๋ยวนี้ แต่คิดอีกทีทำไมเราต้องออกไปลำบากในขณะที่ยังไม่มีงานใหม่ และถ้ายังมีข้อดีที่ได้ทำงานที่นี่อีกตั้งหลายอย่าง พอตั้งสติได้ก็เข้า google หาวิธีจัดการกับคนร่วมงานที่ไม่น่ามีอะไรจะร่วมด้วยต้องทำยังไง เราไปเจอคำแนะนำที่ดูเข้าท่าและลองทำตามนี้แล้ว เออ เวิร์คจริง หลายข้อมาจากอาจารย์โรเบิร์ต ซัตตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อาจารย์โรเบิร์ตเขียนหนังสือ “The No Asshole Rule” และ “The Asshole Survival Guide” เอามาปรับใช้ดู พอผ่อนๆ ความเครียดไปได้บ้าง สาวคลีโอคนไหนเจอสถานการณ์นี้อยู่มาดูกัน
1. กลับบ้านมาดูตัวเอง
เวลาที่เราเจอคนที่ทำงานทำแย่ๆ ใส่หรือเจอเหตุการณ์แทงข้างหลัง เอาเราไปด่า ขโมยผลงาน คนที่พูดเก่งแต่ทำไม่เห็นเก่งเหมือนที่พล่าม อย่างแรกดูตัวเองว่าตลอดมาเราทำงานเป็นยังไง เอาแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลยนะ เราสร้างประโยชน์ในที่ทำงานมากแค่ไหน เราซื่อสัตย์กับงานที่ทำ อาจจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์เป็นสุดยอดพนักงานดีเด่น พลาดบ้าง อ่อนไปบ้าง แต่เราก็คิดและทำเต็มที่ มีน้ำใจกับคนอื่น ตรงนี้จะปูทางให้คุณไปสู่ข้อต่อไปได้ไม่ยาก
2. หาเพื่อนร่วมงานที่รักและเข้าใจกัน
อาจจะ 2-3 คนที่มาเป็นแนวร่วมไปด้วยกัน เพื่อนที่ไม่ได้สปอยล์แต่มองความเป็นจริง และถ้าคุณเป็นกลุ่มคนทำงานจริงจัง คนอื่นจะมองว่าคุณมีภาษีดีกว่า พูดอะไรก็น่าเชื่อถือ จะพูดถึงใครก็พูดด้วยเหตุผล เอาการทำงานมาว่ากันตรงๆ เวลาต้องประชุมและฉะฝีปาก อย่างน้อยก็มีกรุ๊ปให้เข้าไประบายความรู้สึก มีเพื่อนที่เห็นใจ ข้อนี้สำคัญมากว่าเราจะไม่ใช่คนหัวเดียวกระเทียมลีบในสถานการณ์นี้ มีคนคอยซัพพอร์ตเราอยู่ และการจะมีข้อนี้ คุณต้องเป็นคนดีจริงใจด้วยเนื้อแท้ก่อนเลย
3. มองให้เป็นเรื่องขำๆบ้าง
อารมณ์ขันคือสิ่งที่จะทำให้คุณผ่อนหนักเป็นเบา บางทีคนๆ นั้นอาจจะทำเรื่องแย่ๆ อย่างต่อเนื่องและไม่ได้ทำกับเราคนเดียว การได้ยินเรื่องคนนั้นทุกๆ วัน ก็เริ่มจะทำให้ขำขึ้นมาในใจ คนบ้าอะไรไม่ทำเรื่องดีๆ ซักวันเหรอ พอคุณเริ่มแชร์เรื่องต่างๆ กับเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ และเขาคนนั้นก็เป็นคนตลก เหมือนกัน เวลาด่าจะไม่ใช่เรื่องเครียด แต่จะกลายเป็นมุขขำๆ จิกกัดกัน ดูเป็นคนขี้เมาท์นะ…ก็ใช่ไง คนบางคนก็ต้องโดนเมาท์บ้าง
4. เอาตัวออกห่างจากคน toxic
โชคดีที่ตอนนี้โลกของการทำงานเปลี่ยนไป หลายบริษัทให้อิสระในการไม่ต้องนั่งทำงานติดโต๊ะ ต้องมานั่งปล่อยรังสีอำมหิตใสกันทั้งวัน ประสาทกินพอดี ถ้าทำได้ลอง work from home บ้าง ไปนั่งทำงานในร้านกาแฟเงียบๆ แถวใต้ตึก พอไม่ต้องเจอหน้าคนที่ไม่ชอบบ่อยๆ ก็โฟกัสงานได้มากขึ้น
5. บอกตัวเองว่าต้องผ่านไปได้
ข้อนี้อาจารย์โรเบิร์ตสอนว่าให้เราพูดกับตัวเองว่า ถ้าเราเอาชนะเรื่องนี้ไปได้วันนี้ อีกหนึ่งสัปดาห์ อีก 6 เดือนหรืออีกปีหนึ่ง เราจะมองว่าเรื่องนี้ธรรมดามาก เอาตัวเองให้อยู่เหนือปัญหาเข้าไว้
6. รวบรวมหลักฐานเอาไว้วันที่เหมาะสม
วันนี้เราอาจตกเป็นรองคนเหล่านี้ เพราะเขาสร้างภาพลักษณ์เก่งกว่า มีตำแหน่งสูงกว่า ใกล้ชิดหัวหน้าและผู้บริหารระดับสูง แต่สำหรับคนนิสัยไม่ดี เหยียดคนอื่น จ้องแต่จะสร้างผลงานให้ตัวเอง วันหนึ่งคนเหล่านี้มีโอกาสที่จะตายด้วยตัวของตัวเองสูง และถ้ามีคนเปิดดราม่านี้ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเริ่มเอง หลักฐานทุกสิ่งที่คนนี้เคยทำเอาไว้จะแผ่หลาเบิกเนตรทุกคนที่เคยเชื่อเขา ศรัทธาในการทำดีและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
7. ยืนหยัดในความเป็นตัวเอง
สัญชาตญาณนักสู้ของคุณจะต้องลุกเป็นไฟ เมื่อถึงเวลาที่ต้องขึ้นมาโต้กลับ ข้อนี้ขอเชื่ออาจารย์โรเบิร์ต เพราะอาจารย์บอกว่าเขาเองเป็นคนที่เชื่อในเรื่องการของลุกขึ้นมาสู้ คุณก็คงอยากสู้ถ้ารู้ว่าสนามนั้นคุณจะไม่แพ้ บางครั้งอาจต้องใช้เวลา ต้องรวมกำลังคนที่คุณเชื่อใจได้ รวมทั้งอำนาจระดับสูงที่ต้องสั่งสมกันมาบ้าง จัดการอย่างมีศิลปะและแยบยล คิดให้ดีๆ เพราะพลาดนิดเดียว คุณอาจเสียเปรียบตลอดไป
สุดท้ายแล้วอาจารย์บอกว่าก่อนจะลุยแหลก ยังอาจมีทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ต้องฟาดฟันกับคนที่ทำงานที่เราไม่ชอบได้อีกมากมาย เผลอๆ เขาอาจไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองนิสัยไม่ดีขนาดนั้น เพราะไม่เคยมีใครพูดเตือนเขาตรงๆ อย่าลืมที่จะให้โอกาสและเป็นคนเปิดใจก่อน ไม่แน่นะว่าเขาอาจกลายเป็นเพื่อนร่วมงานดีๆ ของเราในอนาคตเลยก็ได้ ใครจะรู้!?!