‘โจ – โจเซฟ ซามูดิโอ’ หนึ่งในห้าสิบหนุ่มคลีโอปี 2014 ผู้มีรอยยิ้มใจดี และพร้อมสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง วันนี้มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เขาทั้งหล่อขึ้น เก่งขึ้น และมีสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเมื่อไม่นานมานี้!
“ตอนนี้ก็ทำหลายอย่างเลยครับ” ใครที่รู้จักโจคงจะรู้ดีว่านอกจากการเป็นนักร้อง นักดนตรี หนุ่มลูกครึ่งไทย-โคลอมเบีย คนนี้ เป็นนักดนตรีบำบัด ที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยแชปแมน รัฐแคลิฟอร์เนีย และหลังจากที่ทำอาชีพนี้มานานกว่า 6 ปีในอเมริกา เขาได้บินมาที่ไทย และยังคงเป็นนักดนตรีบำบัดเช่นเดิม “แล้วก็มีสตูดิโอของตัวเอง The Music Lab และเป็นอาจารย์พิเศษสอน Music Psychology อยู่ที่มหาวิทยาลัยด้วยครับ” ความจริงแล้วโจบอกว่ามีทำโปรเจคอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะทั้งเขียนเพลงและแต่งเพลง ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบมากด้วย
ทำความเข้าใจ นัก ‘ดนตรีบำบัด’ = จิตบำบัด?
คงจะตอบได้ว่าใช่ “ที่ไทย พอพูดถึงคำว่า นักดนตรีบำบัด คนทั่วไปก็จะถามว่า เป็นครูหรือเป็นหมอ? แต่ที่อเมริกาเขาจะคิดว่าเป็นศิลปิน เป็นไปในทางศิลปะมากกว่า ความจริงคือสองอย่างรวมกัน เราถือว่าเป็นนักบำบัด นักจิตวิทยา แต่ว่ามันเป็นการเยียวยาด้วยดนตรี ไม่ใช่เปิดเพลงให้ฟังอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเครียดหรอ ฟังเพลงนี้สิแล้วจะหาย แต่คนไข้ต้องปฏิบัติไปด้วย”
ถ้าพอจะอธิบายให้เห็นภาพก็คือ โจเป็นนักจิตบำบัดโดยพื้นฐาน แต่เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการช่วยให้คนไข้ได้เยียวยาจิตใจ
ในช่วงเวลา 10 ปีที่โจคลุกคลีกับวงการจิตบำบัดในประเทศไทย เขาสัมผัสได้เลยว่าคนทั่วไปเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น “อาจจะยังไม่ได้เปิดรับมากถ้าเทียบกับที่อเมริกา เพราะโดยส่วนใหญ่คนไทยอาจจะยังไม่อยากพูดถึงปัญหา อายที่จะบอกว่าต้องไปหานักจิตบำบัด mental health ยังไม่เป็นที่นิยมในไทยสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไม่นานมานี้คนก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การที่เราจะแข็งแรงนั้นไม่ได้แค่ออกกำลังกายอย่างเดียว เราต้องออกกำลังสมอง และออกกำลังจิตใจควบคู่กันไปด้วย”
บำบัดออนไลน์ในภาวะ Covid-19
เหมือนว่าจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้คนไข้และนักจิตบำบัดไม่สามารถเจอกันแบบตัวเป็นๆ ได้ในช่วงเวลาที่โรคระบาดกำลังหนักอย่างในสองปีนี้ แต่ทุกอาชีพก็พยายามปรับตัว “ผมก็ใช้วิธีบำบัดผ่านทางออนไลน์ เรียกว่า teletherapy มันมีประโยชน์เหมือนกันนะครับ เวลาเราอยู่กับคนไข้ ถ้าใช้เปียโน เรากับคนไข้อาจไม่ได้เผชิญหน้ากัน แต่ในโปรแกรมซูม (ออนไลน์) เรามองกันผ่านกล้อง บางทีก็อาจสังเกตได้ว่าเขาไม่กล้าจ้องหรือมองมา เขาอาจมี Underlying Anxiety”
Underlying Anxiety คือ ความวิตกกังวลที่แฝงเอาไว้ และอาจแสดงออกมาจากท่าทางที่นักบำบัดเองก็ต้องสังเกตเพราะคนไข้จะไม่บอกเล่าหรือไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเก็บอะไรบางอย่างเอาไว้ในใจ
นักจิตบำบัดก็ต้องบำบัดตัวเองเหมือนกัน
“ใช่เลยครับ เวลาฟังเรื่องเครียดๆ จากคนไข้หลายคนเข้า เราต้องซัพพอร์ตปัญหาทุกคน นักจิตบำบัดไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ต้องบำบัดความเครียดของตัวเองด้วยเหมือนกัน” โจบอกว่าด้วยวิชาชีพนี้เขาถูกฝึกมาให้สังเกตเห็นความผิดปกติของคนอื่น เลยทำให้เผลอมาใช้กับตัวเองด้วย
“สังเกตตัวเองเป็นอัตโนมัติ เหมือนเข็มไมล์ของรถ เวลาที่เครียดกว่าปกติ เข็มไมล์เกินลิมิติ ก็จะหาวิธีผ่อนคลาย”
Basic Music Therapy ที่ทำได้เองที่บ้าน
โจแนะนำว่าถ้าช่วงนี้รู้สึกเครียดกับข่าว สถานการณ์ และการจำกัดพื้นที่อยู่แต่ในห้องก็ ลองผ่อนคลายตัวเองไปก่อนผ่านเสียงเพลง อย่างแรกเลยให้ตั้ง เพลย์ลิสต์โปรด กี่เพลงก็ได้ แต่ต้องเป็นเพลงที่ชอบ เมื่อไหร่ที่รู้สึกแตะความเครียดหรือหม่นหมอง ให้พักสิ่งที่ทำอยู่แล้วเปิดเพลย์ลิสต์นี้ฟัง จะร้องไปด้วยก็ได้
“เพลงมันจะสามารถปรับอารมณ์เราได้ในทันที เหมือนเป็น time machine เป็นปุ่มรีเซ็ตอารมณ์เรา”
อีกกิจกรรมคือให้ลองเขียนลงบนกระดาษ ตั้งเวลา 2-5 นาที เขียนโดยไม่หยุดเขียน ถ้านึกอะไรไม่ออกให้เขียนคำที่นึกออกไป ไม่ต้องเป็นเรียงความที่สวยงามก็ได้ “ผมรู้สึกว่าหลายคนเวลาที่รู้สึกเครียดขึ้นมาจะไม่ค่อยใช้เวลาวิเคราะห์ว่า มันเป็นเพราะอะไร แค่รู้สึก แล้วก็พยายามจะทำอย่างอื่น แต่การเขียนลงไปในกระดาษ หนึ่ง เราจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาว่ามีเรื่องอะไรอยู่ในใจ สอง แค่เขียน ก็เหมือนได้ระบายความเครียดออกมาลงในกระดาษ เพื่อให้รู้ว่าความเครียดไม่ใช่ตัวเราและไม่ได้ควบคุมเรา เราจัดการมันได้ แยกออกมาจากตัวเราได้”
อีกอย่างที่ทำได้ “ลองทำไปด้วยกันเลยไหมครับ เลือกเพลงที่ชอบมาหนึ่งเพลง” เราเลือก Part of your world (The Little Mermaid)
“I wanna be where ________”
“I wanna see wanna see ________”
“_________ around on ________”
เติมคำในช่องว่าง เปลี่ยนคำที่เปลี่ยนได้ เปลี่ยนตามใจเรา คิดอะไรลองใส่ลงไปในเนื้อเพลงแล้วร้องตาม “มันเป็นกิจกรรมง่ายๆ เล็กๆ น่ารัก แต่จะเห็นเลยว่าได้ระบายความรู้สึกและสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจ ทำเองได้ที่บ้าน อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้แต่ละวันผ่านไปได้อย่างทิ้งรอยยิ้มเอาไว้ก่อนนอนนะครับ”
ชีวิตคืออะไร บาลานซ์ความฝันกับความจริง
“ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นนักบิน พ่อจะพาไปดูเครื่องบินที่ใกล้ๆ สนามบินตลอด” ถ้าย้อนกลับไปนึกถึงวัยเด็กและความฝันในตอนนั้นโจพูดถึงมันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
อย่างที่เห็นว่าวันนี้แม้จะไม่ได้เป็นกัปตันโจ แต่เขาก็ยังมีอีกความฝันที่อยากจะเป็นหมอ “เราได้ทำงานเยียวยาจิตใจคน เป็นสิ่งหนึ่งที่อยากทำ และได้ใช้ดนตรีทำมันไปพร้อมๆ กัน” กว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำทุกสิ่งที่ฝันเอาไว้ แต่อย่างน้อยความหมายของมันก็คือการได้ทำสิ่งที่รักควบคู่ไปกับการทำเพื่อคนอื่น และถึงวันหนึ่งเขาก็พร้อมลงมือทำเพื่อความฝันของคนที่เขารักด้วยเช่นกัน
“ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดและไม่อยากให้เกิดขึ้นครับ อะไรที่เราตั้งรับมันเอาไว้ก่อนได้ พอถึงเวลาก็เหมือนว่าจะหายห่วงไปได้เรื่องหนึ่ง”
ก้าวสู่สเต็ปใหญ่และชีวิตที่เปลี่ยนไป
โจเป็นคนมีชื่อเสียงที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ความจริงแล้วเขาก็คือคนทั่วไป ที่เติบโต ทำสิ่งที่รัก และสร้างครอบครัว “ตอนโสด มีแฟน แล้วแต่งงาน มันเหมือนเราก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น แต่พอมีลูกคนแรกเหมือนหนึ่งก้าวข้ามบันไดห้าขั้นไปเลย พอมีลูกก็ต้องมีเวลาให้เขา ผมอยากเห็นเขาโต ไม่อยากจะพลาดอะไรไป หลายคนบอกว่าพอมีลูกนะ ชีวิตเราจบแล้ว แต่สำหรับผมไม่ใช่ แค่แบ่งเวลาให้เขาเยอะหน่อยแต่ก็ยังทำสิ่งที่อยากทำอยู่”
แค่มีเวลาน้อยลงโจบอก “เรามีเวลาของตัวเองน้อยลงเยอะมาก เมื่อก่อนอยู่กับภรรยา ต่อให้เขาต้องการเวลาจากเรามากแค่ไหน เขาก็ต้องมีเวลาของเขาและดูแลตัวเองได้ แต่ลูกไม่ได้เลยในตอนนี้ เขาต้องการพ่อแม่ 100%” และยิ่งในภาวะ Covid-19 ที่ทำให้เขากังวลขึ้นเป็นหลายเท่า “จนบางครั้งเราต้อง step back แล้วนึกถึงมนุษย์ถ้ำเพื่อสงบจิตใจ”
“เขาเกิดมาแล้วยังไม่ได้ใช้ชีวิตปกติ เราเป็นพ่อก็อยากให้เขาได้เจอโลก ได้เรียนรู้ ถึงจะพูดไม่ได้ แต่เขาสังเกตทุกอย่าง เราทำอะไรเขาจะมอง ก็อยากให้ลูกได้เจอเด็กๆ มีสังคมของเขาเหมือนกัน”
ความรู้สึกของการมีลูกคนแรก
“It’s a very amazing feeling แต่มันไม่ใช่ว่าเป็นช่วงเวลาที่สายรุ้งพาดผ่าน อะไรก็ดีอย่างที่เห็นในไอจี ชีวิตพ่อแม่มันไม่ง่าย” โจบอกเลยว่ามีลูกคือที่สุด “เมื่อก่อนนี้ผมไม่เคยมีคำถามว่า ถ้าเราไม่อยู่จะเป็นยังไง แต่พอมีลูกแล้วคำถามนี้มันผุดขึ้นมาในหัวเลยครับ กังวลไปหมดตั้งแต่เขายังไม่คลอด จนทุกวันนี้มีเพื่อนเป็น google ‘เตียงแบบนี้ได้ไหม’ ‘ทำไมยังไม่พลิกตัว’ ‘กินอะไรได้บ้าง’ กังวลไปหมดจริงๆ บางครั้งต้องถอยออกมาแล้วก็พยายามจะกังวลน้อยลง”
แน่นอนว่านักดนตรีอย่างเขาก็ต้องมีอยู่แล้วที่จะแต่งเพลงให้ลูก เพลง ‘ของขวัญ’ “ปกติผมจะมีทำนองในหัวอยู่แล้วหรือบางทำนองที่แต่งเอาไว้ อย่างเพลงนี้ก็แค่ใส่เนื้อเพลงถ่ายทอดความรู้สึกให้กับลูก” อย่างที่โจบอกเลยว่าเป็นพ่อแม่มันไม่ง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็รู้สึกว่า ลูกคือของขวัญที่เขายินดีอย่างที่สุดที่จะได้รับ และพร้อมดูแลทั้งชีวิตและอนาคตของลูกอย่างดีที่สุด
เพราะความฝันมันสำคัญ และไม่มีใครเดาอนาคตได้
นอกจากความกังวล ใบหน้าของลูกก็ทำให้เขายิ้ม “เขาทำให้รู้สึกว่าตอนนี้ครอบครัวเราสมบูรณ์ เป็นอีกสเต็ปของความสำเร็จในชีวิต และผมมีความเชื่อว่าความมั่นคงในชีวิตของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะอยู่ดูแลเขาได้ไปอีกนานแค่ไหน ผมเป็นคนนึงที่มองหาความมั่นคงให้กับของขวัญตัวน้อยๆ ของผม ซึ่งผมได้มารู้จักกับ ประกันชีวิตควบการลงทุน AIA Infinite Gift Prestige แบบประกันที่ช่วยให้ผมสามารถสานฝันให้กับลูกน้อยของผมได้ไปจนตลอดช่วงชีวิต
“ผมได้ทำตามความฝันส่วนหนึ่งของชีวิต ก็อยากให้ลูกได้ทำตามฝันของเขาเหมือนกัน”
และเพราะเราควบคุมอนาคตไม่ได้ แต่วางแผนเพื่อรับมืออย่างมั่นคงได้ “ไม่ว่าจะเป็นความฝันในการสร้างธุรกิจตามแผนที่วางไว้สำหรับอนาคต ด้านการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล เราวางแผนทางการเงินไว้ให้เขาได้ตั้งแต่วันนี้ครับ” และนอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการลงทุนในกองทุนรวมที่กระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ต่างประเทศ ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกมาช่วยบริหารพอร์ตโฟลิโออีกด้วย
ได้ยินแบบนี้แล้วหัวใจฟูเลย ในช่วงเวลาที่เราคาดเดาอะไรได้ยากแบบนี้ แต่เราวางแผนการเงินที่มั่นคงให้คนที่เรารักได้สานฝันของเขาในวันที่อยากลงมือทำสิ่งที่ใจรัก นี่แหละของขวัญล้ำค่าสำหรับคนที่เป็นของขวัญสำหรับชีวิตของเรา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3j2gOX1
Credit Photo: instagram/@joe_zone Facebook/The Music Lab