5 สิ่งนี้ถ้าคุณทำหลัง 7 pm แล้วชีวิตคุณจะไม่เหมือนเดิม!

“วินัยที่เราสร้างให้ตัวเอง” หนังสือเรื่อง Self-Discipline Guidebook เขาสรุปมาเลยว่า 5 สิ่งนี้หลัง 7 pm แล้วเราจะมีชีวิตที่เปลี่ยนไป ลองดูกันเถอะ คลีโอได้ไอเดียเรื่องวินัยนี้มาจากกูรูตัวแม่ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Self-Discipline Guidebook เธอสังเกตชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนในโลก เธอฟันธงมาว่า 5 ข้อนี้ถ้าเราได้เตรียมตัวก่อนเริ่มวันใหม่ เตรียมชีวิตให้ดีก่อนเวลาหนึ่งทุ่มของทุกวัน เราจะเห็นเลยว่าชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนไป บอกเลยว่ามีฝันยากแค่ไหน เราก็ทำให้เป็นจริงได้ชัวร์ๆ เริ่มเลยนะ….. 1. รีเช็คตัวเอง: ตอบคำถาม 3 ข้อนี้ให้ได้ว่า สามคำถามนี้มาเพื่อให้เราบาลานซ์ระหว่าง “ความระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เราอยากขอบคุณ” และ “เราพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง” 2. ออฟบางสิ่ง: จำเป็นมากที่เราต้องเบรคสมองเราจากงานและการไถมือถือ เบรกเวลานี้ได้ไปจนถึงตอนนอนจะเริ่ดมากก็คือ… วางมือถือลงซะ ปิดคอมพ์ด้วย ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน 3. แพลนสำหรับพรุ่งนี้ เราจะเริ่มวันพรุ่งนี้ที่โปรดัคทีฟได้ ก็อยู่ที่วันนี้นี่ล่ะ เขียน 3 สิ่งใหญ่ๆ ที่เราต้องทำในวันพรุ่งนี้แบบไม่ทำไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำไปยาวๆ ก็ให้เขียนปักไว้พร้อมให้เรตติ้งความคืบหน้าด้วย 4. หายใจ เราหายใจ 20,000 […]

ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]




Lifestyle

เธอค้นพบตัวตนและความฝันอย่างช้า ๆ บนลู่วิ่งของตัวเอง



คุยกับ “มีมิ ปุญญิศา” กับการค้นพบตัวตนและความฝันอย่างช้า ๆ บนลู่วิ่งของตัวเอง
“เมื่อความฝันของเธอ เกิดจากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในระหว่างที่เดินทาง”

เธอค่อย ๆ เก็บเศษเสี้ยวของประสบการณ์ในแต่ละช่วงชีวิต นำมาหลอมรวมเป็นเส้นทางเดินในแบบของตัวเอง
มีมิคือหญิงสาววัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบเหมือนกับวัยรุ่นในช่วงอายุเดียวกัน เราได้คุยกับมีมิในหลายเรื่องราว โดยเฉพาะเรื่องของ “ความฝัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนมีอยู่แล้วในใจและกำลังไต่ไปให้ถึงเส้นทางความฝันนั้น หรือบางคนก็ยังหาความฝันของตัวเองไม่เจอ มีมิเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ค่อย ๆ เดินตามหาความฝัน ผ่านการลองผิดลองถูก ทำสิ่งใหม่ ๆ ในแบบที่ชอบ จนวันนี้เธอก็ค้นพบมันจนเจอ

มีมิคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบและมีใจรักในภาษา เธอไม่ได้เป็นคนเก่งอะไรมากมาย เธอรู้แค่ว่าเธอชอบฟังเพลงสากล ชอบอ่านเนื้อเพลง รักในการอ่านหนังสือ การได้ตีความสิ่งต่าง ๆ จนตกผลึกความคิดคือสิ่งที่ทำให้มีมิมีความสุข และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ้าถามว่าในชีวิตมหาวิทยาลัยของเธอเป็นยังไง เธอบอกกับเราว่า “พอเข้าอักษรฯ มาได้ สิ่งที่ตามมาคือความคาดหวังจากคนรอบข้าง และความหวังเหล่านั้นคือสิ่งที่เธอยังไม่มีให้กับใคร แม้กระทั่งกับตัวเธอเอง มีมิใช้เวลาส่วนใหญ่มุ่งไปที่การทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยมากกว่าการเข้าชั้นเรียน

“บางทีเราก็คิดนะ เรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วอนาคตเราจะล้มเหลวจากการกระทำของตัวเองนี้มั้ย”

แต่เธอก็ยังทำมันต่อไป การเรียนอักษรศาสตร์จึงถือเป็นเศษเสี้ยวประสบการณ์แรกที่มีมิหยิบขึ้นมาได้

“ตอนที่เข้าอักษรฯ มา มีคนรอบตัวบอกเราเยอะมากว่าเราจบไปแล้วจะเป็นอะไรได้บ้าง แต่เราไม่ได้อยากจะเป็นแบบนั้นเลยสักอย่างเดียว”

มีมิเป็นหนึ่งในคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้าเรียนจบแล้วเราต้องทำอะไร เป็นแบบไหน ในขณะที่คนอื่นกำลังอยู่บนลู่วิ่งที่ค่อย ๆ เข้าสู่เส้นชัยด่านแรก มีมิยังอยู่ที่จุดสตาร์ทเพื่อดูทิศทางการวิ่งของตัวอยู่ แต่จริง ๆ แล้วการที่เราวิ่งช้ากว่าคนอื่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ถึงเส้นชัย สิ่งที่มีมิมักจะเน้นย้ำตลอดเวลาที่คุยกันคือการเลือกเดินในเส้นทางของตัวเอง บางคนมีความสุขกับทางเดินที่เลือกเอง บางคนมีทางเดินแต่ไม่มีความสุขเพราะไม่ได้เลือกเอง ทุุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะว่า สังคมให้ทางเลือกกับวัยรุ่นอย่างเราน้อยเกินไป “เราต้องเดินตามทางเลือกของสังคมอีกนานแค่ไหน ที่ต้องผลักตัวเองเข้าไปในทางที่เราไม่ได้ต้องการ เหมือนกดดันให้เราเรียนเพื่อจบไปมีอาชีพอะไรสักอย่างที่มีชื่อเรียก”

เศษเสี้ยวชิ้นใหม่ กับการเปิดโลกและมุมมองที่กว้างมากกว่าเดิม

ขอย้อนไปช่วงก่อนที่เธอจะเข้าเรียนที่อักษรฯ ตอนนั้นเป็นช่วงรอยต่อหลังจบมัธยมปลายพอดิบพอดี มีมิได้เข้าร่วมโครงการ Asia Pacific Youth Exchange (APYE) เธอได้ทำกิจกรรมหลายอย่างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำจาก Leadership Development Training อีกทั้งฝึกการคิดอย่างสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรม Design thinking นอกจากนี้มีมิเองก็ยังได้เรียนรู้การสร้างโมเดลธุรกิจและโมเดลการพัฒนาที่เป็นนวัตกรรมทางสังคม หรือแม้แต่การลงชุมชน แปลภาษาไทยให้ต่างชาติฟัง มีโอกาสได้ทำโปรเจ็กต์ต่าง ๆ จนได้รับรางวัลชนะเลิศกลับมา

เธอบอกว่าการได้เข้ามาทำตรงนี้ ทำให้เธอเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากขึ้น การได้พบเจอผู้คนที่หลากหลายทำให้มีมิมองเห็นว่า “มนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่หลากหลาย” และนั่นทำให้เธอได้เห็นมุมมองการใช้ชีวิตของผู้คนที่กว้างมากขึ้น นอกจากเธอจะทำโครงการ APYE แล้ว มีมิยังได้มีโอกาสได้ทุนไปเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ ASEAN International Mobility for Students (AIMS) Programme ที่มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila ประเทศฟิลิปปินส์อีกด้วย มีมิได้เล่าว่าการเรียนที่ฟิลิปปินส์ก็มีสภาพแวดล้อมไม่ต่างจากที่กรุงเทพเท่าไรนัก แต่สิ่งที่เธอได้กลับมานั้นนับเป็นความทรงจำและประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เธอได้รู้จักเพื่อนต่างชาติที่มาจากหลายหลายประเทศ ได้ใช้ภาษาได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งนี้ก็ได้กลายเป็นมาเป็นส่วนประกอบในชีวิตของเธอ

เมื่อประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมา ได้พาไปสู่ทางเดินเส้นใหม่ที่เธอสร้างขึ้นเอง


“ดูเหมือนบ้าบิ่น เด็กจบอักษร ใช้เวลานอกมากมหาลัยมากกว่าการเข้าเรียน แถมไม่ได้เกียรตินิยมตามคนส่วนมากในคณะ แต่กำลังผันตัวมาทำธุรกิจการศึกษา” สิ่งที่มีมิพูดกับเราวันนั้นทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอ มันไม่ใช่ความบ้าบิ่น แต่มันคือประกายไฟแห่งความฝันที่เธอจุดขึ้นเอง ประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา เธอค่อย ๆ หยิบสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาทีละนิดจนกลายมาเป็นธุรกิจของตัวเอง


“สิ่งที่เรามีคือก็คือความรู้เรื่อง Business Model เรามีความรู้เรื่องภาษาซึ่งเป็นสิ่งที่เรารัก และที่สำคัญคือเรามีความตั้งใจที่อยากผลักดันเยาวชน” ทั้งสามสิ่งนี้รวมกันเป็น “Ascend” สถาบันสอนภาษาจากเด็กเรียนภาษา ทางเดินเส้นใหม่ของมีมิ
(IG: @ascend.languagecenter)

ความตั้งใจของมีมิ คือความต้องการที่จะสร้าง community ที่ให้คนมาแลกเปลี่ยนความคิดและเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการใช้ภาษา มีมิเชื่อว่าภาษาคือผู้คนกับการสื่อสาร เธอจึงตั้งใจให้การเรียนการสอนเป็นเหมือนการสนทนาผ่านเรื่องราวต่าง ๆ เหมือนกับการใช้ภาษาในชีวิตจริง ไม่ว่าจะอาหารการกิน วัฒนธรรม ให้กับคนเรียนภาษาได้เรียนรู้และเพลิดเพลินไปกับมัน สิ่งที่เธอคาดหวังคือการที่ได้เป็นจุดประกายเริ่มต้นการเรียนภาษาให้กับหลาย ๆ คนได้ โดยไม่จำเป็นต้องเก่งหรือมีพื้นฐานอะไร เพราะเธอเองก็เริ่มต้นมาแบบนั้น

ถ้าถามว่ามีมิประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง เธอพูดออกมาอย่างเต็มปากเลยว่า “ยัง” ตอนนี้เธอเหมือนได้เจอเส้นทางที่ใช่สำหรับเธอ หลังจากที่หลงทางอยู่นาน ความฝันเล็ก ๆ ของเธอได้ปรากฏขึ้นแล้ว แต่เส้นทางนั้นยังอีกยาวไกล

“เราไม่ได้อยากเป็นแรงบันดาลให้ใคร เราแค่อยากให้ทุกคนเป็นแรงบันดาลให้กับตัวเอง ไม่ต้องลุกขึ้นมาหาความฝันตอนนี้ก็ได้ แค่ใช้ชีวิตแบบค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ จะช้าจะเร็วไม่เป็นไร แค่ทำออกมาในแบบของตัวเองก็พอ”

เส้นทางความฝันของมีมิ เป็นแค่เส้นทางหนึ่งที่เธอเลือกสร้างขึ้นมาเอง เลี้ยวโค้งออกมาจากทางตรงที่สังคมคอยกำหนดเอาไว้เท่านั้น และเราอยากให้ทุกคนมีเส้นทางเดิน “ในแบบที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่เพียงเพราะใครกำหนด ก่อนที่เราและมีมิจะแยกย้าย เธอยังได้พูดออกมาอีกหนึ่งประโยค ซึ่งเราว่าสิ่งที่เธอพูดมันจริงมาก ๆ จนแม้แต่ตัวเราเองก็ยังรู้สึกได้ มีสิ่งที่มีมิพูดก็คือ
“เราไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เสมอไป ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ในสายตาใคร แค่สิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่สำหรับเราก็เพียงพอแล้ว”

เชื่อว่าหลาย ๆ คนตอนนี้อาจจะยังไล่ตามหาความฝันของตัวเอง หรืออาจกำลังหลงทางกับเส้นทางที่เดินอยู่ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้ว เราเองนี่แหละที่เป็นคนใช้ชีวิต ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แค่หาตัวเองให้เจอ ไม่ต้องรีบก็ได้ ฟังเสียงของตัวเองเยอะ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินตามมันไป เหมือนอย่างที่มีมิได้เดินตามเสียงหัวใจของตัวเองนะ

By Jiratchaya

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']