ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Well-Being

เหตุผลที่คนรุ่นใหม่มีเป้าหมาย Work-Life Balance มากกว่าการทำงานหนัก



“เราไม่ซื้อการก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้ชีวิต” รุ่นน้องในวัยเพิ่งเริ่มงานนางหนึ่งอธิบาย เมื่อเอ่ยถึง work-life balance เธอบอกว่าจะให้ทำอย่างไม่ตั้งคำถาม ทำเพื่อให้เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน หรือเป็นที่รักของเจ้านายมันไม่ตอบโจทย์คนในวัยเธอเท่าไหร่แล้ว 

“แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก บางคนอาจจะยังเห็นข้อดีของสิ่งนี้ และบางคนก็มีความจำเป็นจะยังต้องทำงานหนักไม่ปริปากบ่น มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคนด้วย แค่ถ้าเลือกได้ใครๆ ก็คงอยากจะทั้งทำงานที่ตัวเองรักและมีเวลาได้ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดถึงงาน บาลานซ์กัน”

อะไรคือ Work-Life Balance

จริงๆ แล้วมันคือมูฟเมนต์หนึ่งเมื่อช่วงปี 80s ช่วงปลายของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ ผู้คนทำงานหนักแทบจะหกวันต่อสัปดาห์ หรือว่าหนักถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน! มันทำให้สุขภาพพัง โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ ที่ก็ทำงานด้วย

เลยเกิดเป็นขบวนการปลดปล่อยสตรี สนับสนุนให้เพศหญิงมีตารางเวลาที่ยืดหยุ่นขึ้นและลาคลอดได้ เพราะพวกเธอถูกคาดหวังว่า แม้ยังต้องทำงานและยังต้องดูแลบ้านด้วยภาระหน้าที่ของแม่และภรรยาด้วย ส่วนเพศชายในยุคนั้นก็ยังถูกมองว่าไม่ได้ต้องกังวลเรื่องเลี้ยงดูครอบครัว ทำงานบ้านใดใด ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ก้าวหน้าในอาชีพของตัวเองต่อไปได้

แต่ในยุคนี้มันคือการแยกระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน ใครที่ทั้งทำงานเพื่อเติมเต็มชีวิตและได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการได้ นั่นคงหมายถึง ความสมดุลของงานและชีวิตที่ดีได้เช่นกัน

Work-Life Balance

แล้วเราจะบาลานซ์มันยังไงให้ไม่ล้มระหว่างทาง

1.รู้ความถนัดของตัวเอง อย่าพยายาม say yes กับทุกงานที่ไม่ได้เหมาะกับเรา ถ้าเลือกได้นะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และมอบหมายงานที่ถูกให้กับคนที่ถนัด ไม่อย่างนั้นมันเสียเวลา

2.จัดการตารางงานให้ได้ ถ้าต้องทำทุกอย่างภายในวันนี้ต้องลำดับความสำคัญก่อนหลัง ด่วนและสำคัญ, สำคัญไม่ด่วน, ด่วนแต่ไม่สำคัญ, ไม่ด่วนและไม่สำคัญ เอาไว้หลังสุด

3.รู้จังหวะของตัวเองสำหรับคนไม่ทำงานออฟฟิศนะ ว่าเราชอบตื่นมาทำงานตอนเช้า หรือช่วงบ่ายนี่แหละใช่ บางคนชอบทำงานโต้รุ่ง กำหนดเวลาให้ดีอย่าให้เกินเวลา ตัดใจไปนอนพักด้วย

4.กำหนดเอาไว้เลยในแต่ละวันว่าชั่วโมงไหนคือเวลาที่เราจะไม่ทำงาน ไม่คิดถึงงาน หาอย่างอื่นทำ เช่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ อะไรก็ได้ที่ให้เราได้พักจากงาน และอย่าลืมกำหนดเวลานอนด้วย

5.จัดการเงินของตัวเองด้วย ถ้าทำได้และแบ่งแต่ละส่วนพอใช้ พอเก็บ อาจจะมีส่วนที่เอาไปลงทุนในหุ้นหรือกับธุรกิจใหม่ อย่าตั้งหน้าตั้งตาใช้เท่าที่หามาได้จนหมด ไม่เป็นหนี้ แต่ไม่มีเก็บ อาจจะเดือดร้อนในอนาคต 

6.สร้างบรรยากาศในการทำงานให้ดี ไม่ว่าจะบนโต๊ะที่ออฟฟิศหรือที่บ้าน ถ้าต้องจ้องหน้ากับเพื่อนร่วมงานที่เราไม่ชอบเท่าไหร่ ก็วางแจกันดอกไม้บังซะเลย ถ้าเลือกได้เก้าอี้ควรซัพพอร์ตท่านั่งด้วยก็จะดี

7.ใช้เทคโนโลยีให้เป็น ชาวออฟฟิศส่วนใหญ่ลงความเห็นกันเลยว่า ตั้งแต่เราประชุมออนไลน์ ก็เปลี่ยนโลกของการประชุมไปเลย ทุกคนมาตรงเวลา และเห็นคุณค่าของเวลาที่เสียไปมากกว่า คืออยากจะคุยงานให้เสร็จแล้วแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ถ้าไม่สนิทก็ไม่เสียเวลาคุยเล่นแล้ว

8.อย่าลืมออกกำลังกายด้วย จัดตารางเวลาและทำตามนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่ต้องทำ หาสิ่งที่เหมาะกับเราให้เจอ

9.แบ่งเวลาให้กับสิ่งสำคัญในชีวิต เช่นคนรัก ครอบครัว ไม่มีข้ออ้างอะไรเพราะเราจะจัดการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว คริสต์มาสปีใหม่ นัดแล้วไม่เบี้ยว วันเกิดมีเวลาให้ เราจะรู้สึกว่าเราเลือกทางของชีวิตตัวเองได้มากขึ้น 

10.หาสิ่งที่รักให้เจอและทำมัน ยากแต่ทำได้ แค่อย่าปิดกั้นตัวเอง ถ้าลาออกจากงานประจำไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง หาข้อดีจากมันให้ได้ แต่อย่าทิ้งความฝัน วันนึงเราอาจจะทำมันสำเร็จ อย่าเลิกฝันเด็ดขาด

11.อยู่กับความจริงและรับความจริงให้ได้ ในแต่ละวันที่ผ่านมา เรารู้สึกยังไงกับตัวเอง กับงาน กับผู้คน อะไรที่ไม่ชอบจัดการได้ไหม พยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก มองทุกอย่างจากมุมที่จริงที่สุด เรียนรู้จากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น

12.ถ้าทำได้ นัดใครให้นัดคนละครึ่งทาง มันจะช่วยทั้งบาลานซ์เราและเขา อย่าเอาตัวเองสบายฝ่ายเดียว ยกเว้นว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สะดวกจริงๆ 

13.ในทุกวันต้องมีเวลาพักและอย่าลืมลาพักร้อน ในเมื่อเป็นสิทธิ์ของเราและเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นกับทุกมนุษย์ทำงาน การได้พักไปบ้าๆ บอๆ นอนริมทะเล ไม่ไปไหนเลย หรือแอดเวนเจอร์บุกป่าฝ่าดง ชอบแบบไหนทำแบบนั้น แต่ต้องทำ ถ้าถี่ก็ไม่ต้องหนัก แต่ถ้านานๆ ทีอย่าลืมจัดเต็ม

ดีจริงไหม ความบาลานซ์ระหว่างงานและชีวิต

ตั้งแต่ที่ชีวิตมีอินเตอร์เนตเข้ามาเป็นความสะดวก เราแยกงานออกจากชีวิตได้น้อยลงทุกที เพราะหลายคนทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ อะลุ่มอล่วยให้กับช่วงเวลางานที่กินเวลาการพักผ่อนโดยไม่ตั้งใจ คิดว่านิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ เช็คเมลล์ซะหน่อย แก้งานซะหน่อย กลายเป็นว่าไม่หน่อย เราทำงานตลอดเวลาและคิดเรื่องงานตลอดเวลา จนกระทั่งภาวะหมดไฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนวัยทำงาน

Work-Life Balance

การบาลานซ์งานกับชีวิตที่ทำได้ดี นอกจากจะลดการเบิร์นเอาท์ได้ ยังทำงานงานออกมาดีขึ้น งานออกมาดี เราก็ชอบงานมากขึ้น และมองเห็นความสำคัญของการพักมากขึ้น เครียดน้อยลงไม่ได้หมายถึงไม่เครียดเลยนะ แต่เป็นความเครียดที่ผลักดันงานเรา สุขภาพจิตก็ดีขึ้น ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายสมองจะแล่นจนเราเซอร์ไพรซ์เลยแหละ คนที่รู้สึกว่าร่างกายตัวเองฟิต แข็งแรง มีเปอร์เซ็นต์จะชอบตัวเองมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่าความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็จะดีขึ้น เราไม่ได้เครียดใส่เขา ระบายใส่เขา มีเรื่องอื่นๆ ให้พูดคุยกันอีกเพียบ และมีเวลาให้กันกำลังพอดี ความสัมพันธ์ดีส่งผลกลับไปที่งาน ช่วงเวลาที่ทำงานเราจะทำมันจริงๆ ตั้งใจโฟกัส ลดการทำงานล่วงเวลาไปได้บ้าง ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนและประเภทของงานเลยจริงๆ ว่าจะเวิร์คไหม แต่แน่นอนว่าความครีเอทีฟจัดเต็มกว่าเดิมแน่นอน

เราไม่ได้จะบอกว่าทุกคน work-life balance ได้เดี๋ยวนี้เลย หรือจะต้องทำให้ได้ แต่จะบอกว่าในยุคนี้คนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องผ่านการทำงานหนักมาก่อนถึงคิดได้ และคนยุคใหม่หาวิธีจัดการอะไรๆ ได้เจ๋งจริงๆ บางคนอาจจะทำได้เลยเหมือนเติบโตมาแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่ามีคนที่ยังทำไม่ได้แม้จะรู้ว่ามันดี ด้วยเหตุผลที่ถ้าไม่ทำงานนี้หนักขนาดนี้ก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว

แต่อย่างที่เราก็เชื่อเช่นกันว่าจังหวะชีวิตของแต่ละคนเจอกับเรื่องอะไรไม่พร้อมกันหรอก อย่าทิ้งความฝัน อย่าลืมว่าเราอยากมีชีวิตแบบไหน วันหนึ่งมันจะค่อยๆ ขยับไป อาจจะไม่ถึงจุดที่เราฝันไว้ได้เร็ว แค่ค่อยๆ ไปก็หมายถึงว่าเราใกล้เข้าไปทุกที

Source: https://swappagency.com/2021/07/10/the-importance-of-work-life-balance/ 

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ทาง CleoThailand หรือ FB: @CleoThailand

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']