ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]
“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]
เคยมั้ยคบใครไปสักพักแล้วถึงกับหลอน ตกลงเธอนิสัยแบบนี้จริงๆ หรือ? บอกเลยว่าคน 12 ราศีมีนิสัยและความชอบไม่เหมือนกัน มาดูกันว่าอะไรคือความออฟของหนุ่มแต่ละราศี การเข้าใจบุคลิก นิสัยใจคอของคนแต่ละราศี จะทำให้เรารู้จักธรรมชาติของเขา และรู้ว่าพอมีความสัมพันธ์กับพวกเขา เราจะเข้าใจเขาได้ยังไงบ้าง และความเป็นคนแต่ละราศีจะมีอิทธิพลต่อแพชชั่น ความต้องการของเขายังไง ทั้งหมดก็เพื่อจะให้เราได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีความหมายต่อกัน ดีงามต่อกันนั่นเอง มาดูกันเลยนะ “ความออฟของคน 12 ราศี” มีอะไรบ้าง ราศีเมษ (20 มีนาคม – 19 เมษายน) ชาวเมษมีธรรมชาติของคนทะเยอทะยาน พวกเขาพุ่งหาความท้าทายในชีวิต ถ้าเขาอยู่กับใครที่เฉื่อยๆ จะมีผลทำให้เขารู้สึกออฟได้ พวกเขาต้องการความตื่นเต้น ความสัมพันธ์ที่คาดเดาได้เกินไป จะทำให้พวกเขาเบื่อ ถ้ามีความสัมพันธ์กับชาวเมษ แล้ววิถีเดิมๆ โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง บอกเลยว่าอาจมีเมินกันเหมือนกันนะ ชาวเมษเขาต้องการคู่แมทช์ที่มีพลังงานค่อนข้างมีชีวิตชีวา สนใจค้นหาอะไรในชีวิตไปเรื่อยๆ ถ้าความสัมพันธ์นั้นชวนให้เขาเหมือนอยู่ในแอดเวนเจอร์ ก็จะดึงโฟกัสของเขาได้ได้ดีเลย ราศีพฤษภ (20 เมษายน – 20 พฤษภาคม) ความมั่นคง และความสม่ำเสมอคือสองสิ่งที่ชาวพฤษภถือเป็นคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว พวกาเขาไม่ไหวกับอะไรที่ไม่สม่ำเสมอมาก เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัย คู่ของเขาที่ชอบสร้างดราม่า หรือชอบเปลี่ยนแปลง […]
“ทำงานหนักมาก สุดยอด!”
“ไม่เคยกลับบ้านตรงเวลาเลย ขยันมากอะ”
คำเหล่านี้เป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากในการทำงาน การชื่นชมคนที่ทำงานหนัก ทำงานล่วงเวลาเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่คนที่ทำงานในเวลา แบ่งเวลาว่าง เวลาพักผ่อนให้กับตัวเองกลับถูกมองว่าไม่เอาการเอางานซะงั้น ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
บางคนอาจมองว่า การทำงานตลอดเวลา จนไม่มีเวลาให้ตัวเองเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและให้คุณค่ากับมัน ทำให้เลือกที่จะทำแบบนั้น ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วง work from home การทำงานที่บ้านทำให้ชีวิตการงานซ้อนทับกับชีวิตส่วนตัว จนบางทีเวลาที่จะเข้านอนก็ยังถูกใช้ในการไลน์คุยงานกับหัวหน้าอยู่เลย แล้วเวลาส่วนตัว เวลาที่ร่างกายและจิตใจของเราจะได้พักผ่อนหายไปไหน? การทุ่มเทให้กับการงานมากไป ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Toxic Productivity
Toxic Productivity คือ ความต้องการที่จะทุ่มเททำงานตลอดเวลาเพื่อให้ตัวเองรู้สึก productive ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรอย่างนั้น แต่เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากตนเองและสังคมว่า เราเก่ง เราทำงานหนักขนาดนี้ ทุกคนควรจะยกย่องเชิดชู การทำงานหนักของเรา การทำงานหนักคือสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า เรากำลังอยู่ในภาวะ Toxic Productivity? ทุกคนอาจจะสังเกตได้ง่ายๆ ถ้าเรามีความคิดอย่างนี้
- งานเรียกเมื่อไหร่ พร้อมไปเมื่อนั้น อาการที่เช็คงานเช็คอีเมล์อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเวลาพักผ่อนหรืออยู่กับใครก็ตาม
- รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อได้ทำงาน เมื่อไหร่ที่ได้ทำงานจนสำเร็จ ได้รับคำชม เราจะรู้สึกว่าตัวเองเก่งและมีคุณค่ามาก
- ไม่ได้ทำในสิ่งที่ปกติทำในเวลาพักผ่อน ไม่สนใจคนรอบข้าง กิจกรรมหรืองานอดิเรก สนใจแต่การทำงานเท่านั้นบางคนถึงกับไม่นอนเลยทีเดียว
ถ้าใครกำลังเป็นแบบนี้ อยากให้ลองหยุด หยุดทำงานสักพัก แล้วหันมาใช้เวลากับตัวเองให้มากขึ้น อาจจะใช้วิธีแบบนี้ก็ได้
- ทำความรู้จักตัวเอง ดูว่าเราเข้าข่ายการเป็น toxic productivity หรือเปล่า เราทำงานหนักไปไหม
- ดูว่างานที่เราทำ คุ้มค่ารึเปล่า บางคนทำงานหนักทั้งวัน ทั้งที่การทำงาน 8 หรือ 24 ชั่วโมงก็ไม่ต่างกัน ถ้าผลของงานไม่ต่าง บางทีการพักผ่อนอาจช่วยให้งานสมบูรณ์แบบกว่าก็ได้
- ใช้เวลากับตัวเองบ้าง พักผ่อน เข้านอนเร็ว มาส์กหน้าบ้าง อาจจะทำให้เราโล่ง ผ่ นคลายมากขึ้น หรือจะทำกิจกรรมที่ชอบก็ได้นะ
- หยุดทำอะไรรีบๆ บางทีการใช้ชีวิตช้าๆอาจให้อะไรกับเรามากกว่า การซึมซับช่วงเวลาและแยกแยะว่า สิ่งนี้ต้องทำเลย สิ่งนี้ไว้ทีหลังได้ อาจทำให้ชีวิตเราง่ายและสบายมากขึ้น
อ่านบทความต่างๆของคลีโอได้ที่นี่
ขอบคุณรูปภาพจาก depositphotos
ทำงาน
More
[ajax_load_more posts_per_page='6']