กลางเมืองอุบลฯ มีโรงแรมสวยที่เรโนเวทมาจากตึกเก่า Velawarin โรงแรมที่เข้าไปแล้วแทบจะหยุดหายใจ เหมือนเรากำลังอยู่ในโลกสองโลก อดีตอันรื่นรมย์และปัจจุบันที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่
มองจากข้างนอก จะไม่เห็นโลกข้างใน
และพอได้อยู่ในโลกข้างใน เราจะไม่อยากรับรู้โลกข้างนอก
เพราะที่นี่คือโลกสองโลกได้มาขนานกันแล้ว
โรงแรมที่เหมือนดอกไม้ไทยสีขาวเล็กๆ ที่ค่อยๆ คลี่ตัวเองออกทีละกลีบๆ พร้อมๆ กับส่งกลิ่นหอมไม่เหมือนใครโชยมาทีละก้าวเดิน เวฬาวารินคือโรงแรมเก่ากลางเมืองอุบลฯ ในย่านที่เป็นความเจริญในอดีตเมื่อ 70 ปีมาแล้ว มองจากข้างนอกเราไม่มีวันทายถูกว่าด้านในของโรงแรมเป็นอย่างไร และเมื่อนั่งอยู่กลางเมนล็อบบี้ข้างในโรงแรม เราจะไม่สนใจว่าโลกรอบตัวมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่
ที่นี่จะให้เราหยุดเวลา ย้อนเวลา และอยากสร้างเวลาในอนาคตให้สวยงามสำหรับชีวิตเรา
ล็อบบี้ที่เป็นคาเฟ่ด้วยในเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม บาร์กาแฟ เครื่องดื่มตรงกลางห้อง เสาไม้เก่าสองต้น ตั้งรับเสาเหล็กสร้างขึ้นใหม่ข้างๆ กัน โต๊ะไม้ที่ทำมาจากประตูและหน้าต่างเก่า ผ้าม่านกำมะหยี่สีแดง เพลงแจ๊สเบาๆ ยังมีพู่จีนสีแดงประดับเสา ภาพวาดจิตรกรรมไทย เวฬาวารินหยุดให้เรามองศิลปะสไตล์ต่างๆ ในนี้ไล่ไปทีละจุดๆ แล้วยังสไตล์การวางโครงสร้าง ผนังปูนสีขาวที่มีเอ็นขขอบประตูเป็นปูเปลือยเหมือนไม่ตั้งใจ สะท้อนรอยต่อของสองช่วงเวลา อดีตและปัจจุบันได้อย่างน่าค้นหา
“ที่นี่เคยเป็นคลังสินค้าของท่านผู้หญิงตุ่น โกศัลวิตร เธอรู้จักกับคุณตาผม จนคุณตาขอซื้อปรับมาทำเป็นโรงแรม ตอนนั้นย่านนี้เป็นความเจริญในยุคนั้น โรงแรมคุณตาชื่อว่า “สากล” แยกที่อยู่นี้ก็คือเดียวกัน เมื่อก่อนเป็นถนนเล็กๆ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง” คุณบี อภิวัชร์ ศุภากร รุ่นหลานของโรงแรมสากล เล่าเรื่องราวเวฬาวารินที่เขาได้สร้างต่อจากคุณตาในวันนั้น มาเป็นเวฬาวารินในย่านวารินในวันนี้ให้เราฟัง
“คุณตาทำโรงแรมได้ 30 ปี คุณตาก็มาเสีย แล้วอาคารนี้เลยร้างมาสามสิบกว่าปี จนผุพังไปเยอะมากๆ แล้วคุณแม่ได้รับมรดกช่วงต่อมาจากคุณยาย ท่านตั้งใจว่าหลังเกษียณจะมาปรับปรุงที่นี่ แต่ท่านมาเสียไปก่อน เลยมาถึงรุ่นของผม” คุณบีเองก่อนหน้านี้ทำงานบนเครื่องบินมาตลอด พอมาเจอกับช่วงโควิด และในใจยังคงเป็นความรู้สึกที่ฝังแน่นเสมอว่า อยากสานฝันให้กับคุณยายและคุณแม่ Velawarin จึงเริ่มมาจากการไม่รู้เรื่องเรโนเวทตึกเก่าใดๆ ของคุณบี และความบังเอิญที่ได้เจอกับหนังสือชื่อ “เปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ล” ของอาจารย์วรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์
“ทุกสิ่งในตึกนี้เสียหายไป 90% พื้นกลวง ผุพังหมด ไม่มีทางเลยที่ผมจะเห็นภาพว่าตึกนี้จะมาเป็นโรงแรมได้ยังไง แต่พอผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นภาพว่าอาคารนี้เราทำให้เป็นโรงแรมได้นะ ผมเลยไปเรียนคอร์สเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติคโฮเต็ลกับอาจารย์วรพันธุ์ จนได้ปรึกษาอาจารย์ และพาอาจารย์มาที่นี่ จนอาจารย์นี่ล่ะมาเป็นสถาปนิกและดีไซเนอร์ให้กับโรมแรมของเรา”
ความยากที่สุดของการสร้างเวฬาวารินคือ ต้องเห็นภาพของใหม่ในของเก่า โครงสร้างเดิมและโครงสร้างใหม่ กลิ่นอายเดิมผสานกับกลิ่นอายใหม่ ทำอย่างไรจึงจะล้อกันได้ลงตัวสวยงามที่สุด อาจารย์วรพันธุ์ใช้เวลาค่อยๆ ต่อภาพทุกภาพในความคิด อาคารที่รกร้าง ความเจริญในอดีต จะผันมาให้เป็นโรงแรมสำหรับคนยุคปัจจุบันได้อย่างไร จนกระทั่งภาพนั้นได้สว่างขึ้นมาในความคิดของอาจารย์
“ มีจุดที่ไปต่อไม่ได้เรื่องการออกแบบ อาจารย์เองก็ไม่รู้จะเชื่อมโครงเก่าและใหม่กันยังไง จนอาจาร์ย์มานั่งคนเดียวที่นี่บ่อยมาก มีคืนหนึ่งมีแสงจันทร์สอดผ่านอาคารเดิมที่เป็นไม้โบราณและทาบมาที่ตัวแก แกมองเห็นโครงสร้างใหม่และเก่าเหลื่อมๆ กันอยู่ เป็นคอนเซ็ปท์ทวิภพซ้อนกัน มีความต่างระดับ ผนังปูน แสงเงา มีความต่างกันของกลางวันและกลางคืน ของเก่าและของใหม่”
เวฬาวารินจึงต่อภาพของทวิภพขึ้นมาเรื่อยๆ ล็อบบี้ ห้อนนอนต่างๆ สนามหญ้า นอกชาน โถงบันได และต่อไปถึงแสงทาบผ่านแต่ละห้องในแต่ละช่วงเวลาของวัน เพดาน โครงเส้นสายของทุกๆ ห้อง ความโค้งของเฟอร์นิเจอร์ สีของไม้ ไฟ พนัง ผ้าม่าน ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ เชื่อมเข้ากันและกัน เหมือนมิติในแต่ละช่วงเวลากำลังเดินทางเข้าหากัน เวฬาวารินใช้เวลาสร้าง 2 ปี มีห้องนอน 11 ห้อง กับคาเฟ่ที่เป็นบาร์ตอนกลางคืน ที่นี่จัดงานแต่งงานได้ มินิคอนเสิร์ตเล็กๆ เวิร์คช้อปสโลว์ไลฟ์ และที่นี่ยังเป็นมุมนั่งโปรดของอาร์ติสท์ นักเขียน นักฝัน คนรัก เพื่อนสนิท คนต่างชาติที่เดินทางมา
ห้องที่ใครๆ จะต้องแวะมานั่งเสมอก็คือตรงคาเฟ่ คาเฟ่ของเวฬาวารินยากจะลืม ยากจะเดินจาก แนะนำให้นั่งนานๆ สั่งกาแฟเริ่มตั้งแต่อเมริกาโน่ อเมริกาโน่เสาวรส ลาเต้ร้อน และที่ห้ามพลาดคือกาแฟ Dirty ของที่นี่ ขนมก็จะมาแบบอลัง สไตลิ่งสวยงาม ตกแต่งงานขนมให้น่ามอง และมีอะไรให้เลาะเล็มกินช้าๆ ไปจนหมดจาน ทุกสิ่งของที่นี่ทำแบบสดใหม่ ก็เลยหอมชวนกินทุกจาน
ห้องนอนของเวฬาวารินจะมีความต่างกันไปในเลย์เอาท์นะ เสน่ห์คือเวลาเดินจะมีเสียงไม้ เสียงคนเดิน เราจะไม่รู้สึกเหงาพอได้มาอยู่ที่นี่ และถ้าใครมาคนเดียว จะมีห้องคล้ายๆ นอนในพอด โคซี่มากๆ ห้องนี้ล่ะมีเกมให้เล่นด้วย และทุกห้องมีเน็ตฟลิกซ์ที่ถ้าเราไม่อยากไปไหน นอนดูหนังไปเรื่อยๆ ก็เพลินดี
และถ้าอยากนั่งทอดอารมณ์ ซื้ออะไรมานั่งกินกันนอกชาน สวนกลางโรงแรมเล็กแต่ก็ทำให้นั่งแล้วไม่อยากลุกไปไหน ที่นี่คุณบีบอกว่าจะมีจัดเวิร์คช้อป คอนเสิร์ต จัดกิจกรรมน่ารักๆ อยู่เสมอๆ หรือเอาเสื่อมาเล่นโยคะกลางสนาม นั่งล้อมวงผลัดกันเล่าเรื่องตอนกลางคืน ได้อาบแสงจันทร์ไปด้วยแน่นอน พระจันทร์ส่องตรงมาที่มุมนี้พอดี
อยากชวนใครที่อยากลองใช้ชีวิต slow life ลองมาพักที่เวฬาวารินดูนะ ความสับสนวุ่นวายที่เจอในเมืองใหญ่ ที่นี่จะมีอีกภพตัดออกไปให้ เดินเล่นช้าๆ รอบๆ โรงแรม ถ่ายรูปกับตึกเก่า คุยกับคุณบี เจ้าของโรงแรม เขียนไดอารี่ วาดรูป อ่านหนังสือที่อยากอ่านมานาน เราจะมีชีวิตดีๆ เลยล่ะ ที่เราจะรู้สึกว่าหายเหนื่อย ชีวิตช้าลง แล้วเราจะกลับเข้าไปข้างในตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น อ่อนหวานและมีพลังงานลุกโชน ชวนให้เราอยากละเมียดไปกับโลกใบนี้ตามเสียงเรียกในใจของเราเลย
ติดต่อเวฬาวารินได้ที่ เวฬาวาริน หรือ www.velawarin.com
Tel: 080 369 7639
เขียนโดย สุพิชา สอนดำริห์