ที่สุดของการดูแลผิวใต้วงแขนที่สาวคลีโอเชื่อใจ ต้องยกให้ไอเท็มจาก Ri en เท่านั้น 

อีกหนึ่งเรื่องผิวที่ผู้หญิงอย่างเราจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด ก็คือผิวรักแร้บริเวณใต้วงแขนของเรานี่เอง บอกเลยนะว่าถ้าดูแลไม่ดีเนี่ย นอกจากจะทำให้เกิดความหมองคล้ำและกลิ่นไม่พึงประสงค์ ยังทำให้เราขาดความมั่นใจในการแต่งตัวและใส่เสื้อผ้าสวยๆ ไปด้วย แถมจะแก้ก็แก้ยากอีก เพราะไม่ค่อยเจอผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใต้วงแขนที่ถูกใจสักที จนกระทั่งทีมงานคลีโอได้ลองใช้ไอเท็มจากแบรนด์ Ri en ทุกคนก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า เริ่ดจริงงงง เพราะเขาดูแลครบจบเรื่องรักแร้เลย วันนี้คลีโอเลยจะมาป้ายยาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใต้วงแขนจาก Ri en ที่ได้รับรางวัล CLEO Beauty Hall of Fame 2023 ด้วยนะ มาแล้วก็อย่ารอช้า มาดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง ตามมาเล้ย!

ชี้เป้า 5 Must Have ไอเทมเมคอัพ ที่สาวๆ ต้องพกติดตัวไปทุกที่ ดีงามจนได้รางวัลจากคลีโอ

มาค่ะสาวๆ ใครที่กำลังตามหาเมคอัพถูกและดี คุณภาพสุดปัง ที่เสกให้เราสวยกริ๊งขึ้นได้แบบคอมพลีตลุค ต้องมาทางนี้เลยนะ เพราะทีมงานคลีโอได้ลองเมคอัพจาก IN2IT แล้วติดใจ อยากเอามาป้ายยาให้ทุกคนได้ลองใช้ตามกัน ขอบอกเลยว่าเราไม่ได้มาเล่นๆ นะจ๊ะ เพราะคัดมาให้ถึง 5 ชิ้น เรียกว่าเป็น Must Have เลยก็ว่าได้ ติดกระเป๋าไปทุกทีจริงๆ ปังมากจนคว้ารางวัล CLEO Beauty Hall of Fame 2023 ไปเลย 5 รางวัลไม่แบ่งใคร มาดูกันดีกว่าว่าจะมีไอเทมอะไรน่าใช้บ้าง…

ผิวใหม่สร้างได้ใน 14 วัน ด้วย Trylagina Age-Defying Collagen Serum

ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมหลายคนรอบตัวถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ลองใช้ Trylagina Age-Defying Collagen Serum หรือที่เราเรียกกันว่า เซรั่มกระปุกแดง Trylagina 12X เพราะช่วยเรื่องปัญหาริ้วรอย เหมือนได้ย้อนวัยผิวเลยจริงๆ ดีงามเต็มสิบแบบห้ามใจไม่ไหว คลีโอเลยต้องขอมอบรางวัล BEST COLLAGEN SERUM ให้ไปเลย และอยากมาบอกต่อความดีงามให้ทุกคนได้รู้จริงๆ เพราะช่วยบำรุงผิวแบบครบจบในกระปุกเดียว โดยเฉพาะใครที่ต้องการเพิ่มความเต่งตึงให้ผิว ก็ยิ่งดีงามเข้าไปใหญ่ เหมือนเราได้ผิวใหม่ที่เด็กลงจริงๆ นะ  ใครที่อยากรู้ว่าเพราะอะไร สาวๆ ถึงรักใน Trylagina Age-Defying Collagen Serum เดี๋ยววันนี้คลีโอจะเล่าให้ฟัง




Travel

Slow Travel เป็นสาวนักเที่ยวที่ไปแล้วเจอความหมายของชีวิต



หลายครั้งที่ไปเที่ยวแล้วกลับมาเหนื่อยหนักกว่าเดิม ทำให้หลังๆ เริ่มเข็ดกับการเที่ยวเก็บแต้ม ต้องนั่งรถไปถ่ายรูปให้ครบเอาไว้ขึ้นโซเชียลให้คนรู้ว่าไปมาแล้วนะ พอนึกย้อนถึงทริปนั้นอีกครั้ง ทำไมเราถึงไม่มีความทรงจำในแต่ละที่ที่ไปมาเลย อ๋อ ไปแต่กายหยาบ ไม่ได้ใช้ใจเข้าไปในแต่ละที่นี่เอง คอนเซปท์ของ Slow Travel เที่ยวช้าๆ ได้พร้าเล่มงามเลยเกิดขึ้นมาฮิต เป็นการเที่ยวแบบยั่งยืนต่อใจและได้อะไรกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เที่ยวแบบสโลว์เกิดขึ้นได้ยังไง?

คำนี้ไม่ใช่เที่ยวแล้วอ้อยอิ่งตื่นสาย ไม่รีบสักที่อะไรแบบนั้น แต่ต้นกำเนิดจริงๆ มาจากช่วงปี 1980 ในอิตาลี มีการต่อต้านเทรนด์อาหารจานด่วนฟาสต์ฟู้ดของแมคโดนัลด์ที่มาเปิดครั้งแรกในโรม คนในเมืองเลยจัด slow food movement ขึ้นมาสู้ด้วยความตั้งใจอยากให้การเคลื่อนไหวนี้ป้องกันไม่ให้อาหาร วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นค่อยๆ หายไปจากการใช้ชีวิตรีบๆ ด่วนๆ เร็วๆ ให้คนรู้จักใส่ใจกับอาหารที่กินมากกว่านี้

หลักการนี้เลยเอามาใช้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบ้างเป็นการเคลื่อนไหวให้นักท่องเที่ยวลองถอยออกมาจากลิสต์ที่เที่ยวดังๆ แล้วเอาตัวไปอยู่กลางวัฒนธรรมของท้องถิ่นตรงนั้น คลุกคลีกับคนในชุมชน เป็นประสบการณ์ที่ซึมลึกเข้าไปในวิญญาณ และเข้าถึงสถานที่นั้นในระดับที่เข้าใจถึงแก่นแท้ เห็นข้อดีข้อเสีย อะไรน่าทำตาม อะไรที่ไม่ควร

การเที่ยวสไตล์นี้อาจไม่เหมาะกับชะโงกทัวร์ 3 วัน 2 คืน แต่อาจจะใช้เวลาตั้งแต่ 1 สัปดาห์ไปจนอยู่ยาวๆ ได้เป็นเดือนเหมาะกับคนที่มีวันลามากหน่อยหรือทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งตอนนี้ลองไปดู Tiktok จะมีคนแชร์การเที่ยวที่คนต่างชาติมาเช่าห้องเช่าอยู่ตามเกาะเป็นเดือน ประหยัดค่าใช้จ่าย แล้วก็กินอยู่แบบคนท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อดีของการเที่ยวแบบช้าๆ นี้มีตั้งแต่…

  • เป็นการเที่ยวที่ยั่งยืน เพราะเราไม่ต้องรีบ เราก็จะค่อยๆ ใช้ทรัพยากรตรงนั้นแบบไม่ล้างผลาญไม่ต้องนั่งเครื่องต่อแบบรีบๆ สร้างคาร์บอนฟุตปริ้นท์ที่รุนแรง ไม่ต้องไปหลายๆ ที่หลายเมือง พออยู่ตรงนั้นได้นานก็มีเวลาไปเดินตลาดนัดของเขา เดินไปกินของอร่อยร้านลับ บางทีคนตรงนั้นยังไม่รู้จักเลย
  • ให้ประสบการณ์ที่มีความหมาย มีโอกาสที่เราจะได้สร้างความทรงจำที่ดีที่มีค่าต่อตัวเองไปอีกนานๆ และคนในท้องถิ่นนั้นอาจบอกเล่าบางอย่างสอนใจเราตลอดชีวิต
  • กล้าที่จะมีสังคมใหม่ๆ จากคนที่มีเพื่อนกลุ่มเดิม ลองไปอยู่โฮสเทล ไปนอนโฮมสเตย์ ไปกินอาหารร้านลุง กลืนตัวเองไปเป็นคนที่นั่นสร้างคอนเนคชั่นที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
  • ให้เราออกจากคอมฟอร์ทโซน เอาชนะความกลัว รู้จักดูแลตัวเอง ได้พูดภาษาต่างประเทศคล่องๆ ปรับจากสิ่งที่เคยทำ กลับมาจะได้สู้ชีวิตขึ้น
  • ไม่เบิร์นเอาท์จากการเดินทาง อาการที่กลับจากเที่ยวแล้วเหนื่อยร่างแหลกจะหายไป แต่เหมือนเราได้ไปฝังตัวพักใจ ชาร์จพลังดีๆ กลับคืนมา

การไปเที่ยวช้าๆ ก็ทำได้ง่ายมาก แค่หาเวลาไปให้นานหน่อย ดูว่าคนในเมืองนั้นเขาใช้ชีวิตกันยังไง เขาปั่นจักรยาน เราก็ลองบ้าง ไม่ต้องวางแผนอะไรมากมาย วิ่งลงทะเลไม่ต้องคิดเยอะ ถึงจะลำบากหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา หาที่ที่เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตามจริตที่ชอบแล้วจะได้เรื่องเล่าเป็นประสบการณ์อีกเยอะทีเดียว หาวันลาแล้วลองไปดู!

More