ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Love, Relationship

12 สัญญาณที่เรารู้อยู่แก่ใจว่า “เขาไม่ใช่” แต่ก็ยังฝืนอยู่ในความสัมพันธ์ต่อไป จะดีหรือ?



ต่อมเอ๊ะทำงานมานานแล้ว สงสัยในใจตลอดว่าถ้าเขาใช่ ทำไมเรารู้สึกแบบนี้ ทำไมร้องไห้บ่อย ทำไมไม่เคยอุ่นใจที่มีเขา แต่กลัวไม่มีใครไง ก็เลยยังฝืดๆ อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ไปก่อน เช็คเลยว่าคุณเป็นแบบ 12 สัญญาณเตือนนี้มั้ย หรือ เขาไม่ใช่ จริงๆ

เพราะถ้าเป็นจะบอกว่าไม่เฮลธ์ตี้แน่นอน พลังงานดีๆ ในชีวิตที่ต้องเสียไปกับความสงสัย แล้วยังทุกข์อีก เดินต่อก็ฝืด อยู่ก็ไม่มีความสุข มีทางมั้ยที่เอาให้ชัดกับตัวเอง แล้วกล้าเป็นกล้า กล้าที่จะมูฟออน เอาให้ข้างในเราเคลียร์ที่สุด เพราะถ้าคุณมีครบ 12 สัญญาณเตือนนี้ คุณรู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะว่า “เขาไม่ใช่” แน่นอน!! 

อย่าให้ต้องมาเสียดายเวลาแล้วถามตัวเองอีกเลยนะว่า “มีคนที่ฉันสุขใจกว่านี้ไหม คนที่ฉันไม่ต้องพยายามที่จะอยู่ คนที่ใช่จริงๆ สำหรับฉัน”

ถ้าคุณ….

1.รู้สึกอยากมีความสัมพันธ์ มากกว่าอยากยอมรับทุกสิ่งของผู้ชายคนนี้

บางทีเราก็ยอมรับตรงๆ กับตัวเองไม่ได้นะว่า เราน่ะอยากมีแฟน อยากมีความสัมพันธ์เหมือนใครเขา แต่พอมาเจอจริงๆ ผู้ชายคนนี้โหว….มีอะไรที่เราอึ้งๆ เพียบ เรารู้เลยว่าเราไม่ได้รับตัวเขาทั้งหมด หลายๆ อย่างยอมรับไม่ได้ แต่เราอยากมีใคร อยากแต่งงานไง ก็เลยยอมอยู่ในความสัมพันธ์ จริงๆ ก็รู้มาตั้งนานแล้วล่ะว่าเขาไม่ใช่ เคมีไม่ได้ บอกเลยว่าฝืนทนคบยังไง ก็ยากมากๆ ที่จะลงล็อคอยู่ดี

2.ต้องระวังคำพูดของตัวเองตลอด ไม่อย่างนั้นเขาจะขยี้คุณได้

ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่คุณรู้สึกสปาร์คขนาดไหน แต่พี่ชายเนี่ยเป็นโรคขยี้ซะจังเลย พูดอะไรไม่เข้าหูนิด ก็ต้องขยี้ให้จนมุม จนคุณรู้สึกว่าฉันจะทำอะไรผิดมั้ยตลอดเวลา แล้วพอขยี้ไปมากๆ เข้า คุณระเบิดขึ้นมา ทีนี้ไปกันใหญ่ ทำให้คุณต้องมายอมเขาตอนหลัง และคิดกับตัวเองว่าฉันต้องปรับปรุง เพราะอยากรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ แต่จริงๆ แล้วคุณคือผู้หญิงธรรมดาๆ นะ ที่ไม่เป็นไรเลยถ้าจะพูดอะไรพลาดไปบ้าง หรือขออะไรใครบ้าง เขาเกินไปต่อใจไปหรือเปล่า ลองคิดดูดีๆ นะว่าไหวมั้ย

3. เวลาทะเลาะกัน หรือไม่เห็นด้วยกัน มันกลับมาไม่ค่อยจะได้แฮะ

คนเราไม่เหมือนกันเลยมาเจอกัน มันต้องทะเลาะกันอยู่แล้ว และถ้าการตีแผ่ความรู้สึกจริงๆ ออกมา ทำให้ต้องเถียงกัน เถียงทุกครั้งก็สงบกันไม่ได้ กลับสรุปว่าหรือเราไม่เข้ากันนะ จะบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราทะเลาะกันหรือเปล่าหรอก แต่ในความสัมพันธ์มันคือ “เราจะทำให้คลี่คลายกันยังไง” มากกว่า อีคิวของแต่ละคนจะมีปัญญากันพอมั้ย จิตใจจะรักและเมตตาต่อกันมั้ย หรือจะยึดติดกับแค่เรื่องเล็กๆ แล้วสรุปว่าเราไปกันไม่ได้ 

ถ้าทะเลาะกันนะให้สังเกตการกระทำของคุณทั้งสองเอาไว้ ฟังกันมั้ย พยายามเข้าใจกันมั้ย ใส่ใจกันจริงหรือเปล่า แล้วตอนสุดท้ายคอมฟอร์ทกันยังไง ยิ่งถ้าผ่านไปหลายวันแล้วดูเลย ว่ายังหยิบเรื่องที่ทะเลาะมาเป็นประเด็นอีกหรือเปล่า คนที่ใช่ยังไงเขาก็ยินดีจะมูฟออน และมีพัฒนาการกัน เพื่อจะรักษากันและกันไว้ มากกว่าพุ่งไปที่สิ่งไม่ดีของอีกคน

4. ต่อหน้าคนอื่นหวานมาก แต่พออยู่กันเองกลับเฉยชา

เรียกว่าสร้างภาพเลยดีกว่า ใครๆ ก็คิดว่าหวานกันจากรูปในเฟซบุ๊ค ดูเป็นกิ่งทองใบหยกเชียว แต่มีคุณเท่านั้นที่รู้ว่า พออยู่กันสองคน แพชชั่นแทบจะไม่มี ก็อยู่ไปแบบรักษามารยาทต่อกัน คุยกันบ้าง ปรึกษากันบ้าง แต่ในใจคุณรู้ชัดเลยว่าขาดความรักที่แนบแน่นอยู่ในนั้น

5. หวังตลอดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนได้นะ

เรียกว่าสะกดจิตตัวเองให้เดินอยู่บนทุ่งลาเวนเดอร์ ทำดีขนาดนี้เขาต้องเปลี่ยนได้สิ วันหนึ่งเราต้องสปาร์คกันกว่านี้ เขาต้องเห็นคุณค่าเรา และอีกมากมายเหตุผลที่เราจะเอามาอ้าง เพื่อจะอยู่ในความสัมพันธ์กับเขาต่อไป แล้วบอกเลยนะว่าไม่จำเป็นที่คุณจะต้องเปลี่ยนอะไร เพื่อให้เขาเปลี่ยน หรือรักคุณมากขึ้นหรอก เรื่องของใจ เรื่องของกาย มันคือการเชื่อมโยงกัน ดูดเข้าหากัน ถ้าฝ่ายใดไม่รู้สึก ก็ยากที่จะเปลี่ยน บางทีเขาก็แค่คนที่ไม่แมทช์กับคุณเท่านั้นแหละ

6. ทำไมไม่รู้สึกไว้ใจเขาเลยก็ไม่รู้

ไม่ไว้ใจตั้งแต่ว่า เขารักเราจริงเหรอ เขาอยากมีอนาคตกับเราไหม เวลาเขาบอกว่าคิดถึง เขาพูดจริง หรือเขาฝืน เวลาเขาไปกับคนอื่น เขาคิดถึงเราไหม ที่สุดแห่งความไม่แน่ใจ กลายเป็นไม่ไว้ใจ จนสงสัยเลยว่าเขาจริงใจหรือเปล่า ก็เลยทำให้เวลาเขาพูดอะไร ทำอะไร ก็ไม่ไว้ใจไปด้วย จนไม่เชื่อและไม่ศรัทธาในตัวเขาเลยล่ะ

7. แล้วก็ต้องทำเป็นว่าเขามีอะไรน่าสนใจ

ทั้งๆ ที่คุณคิดกับตัวเองตลอดว่าคุณน่ะเจ๋งกว่าเขา สิ่งที่เขาพูดคุณไม่เคยเห็นเขาทำ แต่กลับต้องทำเป็นสนใจในสิ่งที่เขาพูด ลึกๆ คุณยังรู้สึกเบื่ออีกต่างหาก มีผู้หญิงหลายคนเลยบอกว่า “ดีใจที่แฟนไม่อยู่ จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน” พวกเธอสารภาพกันเลยนะว่า “ไม่เอนจอยเวลาคุยกันนานๆ กับแฟนเลย เรื่องที่เขาสนใจ ไม่อยากรู้เลยด้วยซ้ำ” คุณไม่ควรเสแสร้งอะไรแบบนี้นะ นานๆ ไปจะกลายเป็นต่างคนต่างเงียบ และไม่มีเรื่องอะไรดีๆ คุยกัน ก็อาจจะมีแค่ดินฟ้าอากาศไปอย่างนั้น ความสัมพันธ์จะเข้าขั้นเฉาเอาเลย

8. พอนึกถึงภาพอนาคตกับเขา มันรู้สึกเฉยๆ มาก

ไม่ตื่นเต้น ไม่ดีใจ เรียบมากจนเฮ้ย! จะดีเหรอ การที่เราอยากอยู่กับใครน่ะ อย่างน้อยเราต้องรู้สึกมันช่างน่าตื่นเต้น ชีวิตมีเขาต้องสนุกแน่ๆ เราจะได้ทำอะไรเริ่ดๆ ด้วยกันตั้งเยอะ แต่นี่กลับแบบ…เหม่อ พอนึกภาพว่าต้องแกไปกับผู้ชายคนนี้ ขนลุกซู่เลย ชัดมากๆ เลยว่าเขาน่ะไม่ใช่แน่นอน!

9. อยู่กันแบบไม่ขำ ไม่เอนจอย ไม่โรแมนติก

เรียกว่าไม่มีอารมณ์ใดๆ ที่จะพอทำให้ชีวิตซาบซ่าได้ อยู่แบบรักษาน้ำใจกัน ดูแล ใส่ใจกันให้อีกฝ่ายไม่บอบช้ำ แต่ไม่ขำ ไม่สนุก ไม่โรแมนติก แล้วไม่อยากมีเซ็กซ์ ไม่อยากนอนกอด คือไม่มีอะไรสปาร์คกันเลย ถามจริงๆ ว่าเราจะอยู่กับคนแบบนี้ไปทั้งชีวิตเลยจริงๆ หรือ?

10. รู้สึกดีกับเขาในบางสถานการณ์เท่านั้นล่ะ

คือเขาก็มีดีบางอย่างที่เรารู้ มีเหมือนกันที่เรารู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำ บางสถานการณ์ บางสิ่งแวดล้อมเนี่ย มีเขาก็โออยู่ อย่างเขาซ่อมโน่นนี่เก่ง แม่เราเอ็นดูเขา รอเราทำงานนานๆ ได้ แต่มันไม่พอไง เรื่องอื่นๆ ที่ฝืดมันก็มีอยู่เหมือนกัน อันนี้ต้องแยกแยะดีๆ เลยว่า เราเอากำแพงแห่งความดีงามมาตั้งไว้ด้วยหรือเปล่า มองชีวิตให้เป็นความมีชีวิตชีวา ดีต่อใจให้เบิกบานไว้ด้วยเยอะๆ นะ

11. ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่กับเขาเลย

เขาดูอีโมมาก อารมณ์เขาพร้อมจะตีขึ้น และดิ่งลงตลอด ทำให้เวลาเราอยู่กับเขาไม่ค่อยรู้สึกปลอดภัย ไม่วางใจ ไม่สบายใจ แล้วเลยรู้สึกว่าเขาก็ไม่ค่อยน่าเคารพเท่าไหร่ด้วย อันนี้สำคัญในการมีใครสักคนของชีวิตเลยนะ ถ้าเราฝืดขนาดนี้ แล้วต้องคอยตามอารมณ์เขาตลอด เราจะเสียเวลามาก เสียพลังงานดีๆ ไปด้วย

12. จังหวะของเราสองคนไม่เหมือนกันเลย

เรื่องนี้สำคัญสุดๆๆๆๆๆ มันคือเคมีที่เรามีด้วยกันเวลาเจอเรื่องตลก การหยอกล้อ การเชื่อมโยงกันข้างใน มันจะซิงค์กันได้เป็นธรรมชาติเลย เป็นเรื่องของจังหวะรับส่งที่ผสานไปด้วยกัน เขาเรียกว่าเป็นโซลเมทเลยดีกว่า แล้วยากที่จะแยกคนสองคนแบบนี้ออกจากกัน คือถ้าคุณกับเขาไม่เป็นแบบนี้กันนะ อยู่ไปยากที่จะรอด ไม่ก็ต้องไปนอกใจ ไปเจอคนใหม่กัน หรือยอมทุกข์ทนกันไป ข้างในลึกๆ ของคุณจะรู้ชัดเลย ลองถามตัวเองดูนะ

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']