ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Love, Relationship, Self Love

ทำยังไงไม่ให้อ่อนไหวกับความรัก อยากเข้มแข็งและเบิกบานกว่านี้จัง



ไม่ชอบตัวเองเลยที่มีความรักทีไร เราจะอ่อนไหวปวกเปียกไปหมด ทำไมทีเรื่องงานเราสู้ไม่ถอย แต่กับเรื่องความรัก อะไรสะกิดใจนิด เรายวบมาก!

จะบอกว่าอารมณ์อ่อนไหวในความรักของคุณ คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวนะ มีผู้หญิงมากมายที่อาจดูสตรองภายใน แต่ข้างในอ่อนไหวยิ่งกว่าอะไร คุณอาจรู้สึกว่าฉันช่างเซนซิทีฟง่าย อะไรเล็กๆ เล็ดลอดเพียงนิด ฉันก็พร้อมจะใจหล่นวูบ แล้วเรื่องอื่นนี่อย่างแกร่งนะ ยกเว้นเรื่องความรัก เซนซิทีฟหนักมากๆ บอกเลยว่าเรื่องนี้ฝึกกันได้ อย่างน้อยคุณก็ยอมรับกับตัวเองแล้ว มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วล่ะ ว่าฉันน่ะอ่อนไหวที่สุดในเรื่องความรัก

คนอ่อนไหวกับเรื่องความรักเป็นยังไงน่ะหรือ?

คุณอาจจะกำลังเถียงโลกอยู่นะว่า “ฉันไม่เซนซิทีฟ” แต่ในใจก็แอบหวั่น “แต่ทำไมฉันใจสั่นง่ายจัง” คนที่เซนซิทีฟมากๆ จะเป็นคนที่ “กระทบกระเทือนอะไรง่าย แล้วมันเข้าไปในชั้นลึกๆ ของหัวใจ และจะรู้สึกสั่นไหวแบบต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเลยล่ะ” ยิ่งถ้าลึกมาก และใช้เวลานานมาก นั่นคือคุณคือคนเซนซิทีฟสูงส่ง จนเรียกว่าดิ่งทีไร ฉุดขึ้นมาแทบไม่ได้ แต่ๆๆๆ อยากบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนะ อย่าเพิ่งโกรธตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ คุณคือคนที่มีความรู้สึก และมักใจหัวใจทำงาน หรือเป็นคนละเอียดอ่อนในความรู้สึก เอาเป็นว่าคุณไม่ใช่คนด้านชาก็แล้วกัน

ถ้ารู้สึกว่าไม่อยากอ่อนไหวกับความรักมากเกินไป

เพราะมันทำรายความสัมพันธ์ของคุณอยู่เหมือนกัน ติดใจกับคำพูดเขาเพียงนิดเดียว หึงง่าย โทษตัวเองง่าย รู้สึกผิดง่าย และพอดิ่ง ก็ดึงใจตัวเองขึ้นมายาก ซ้ำๆ ไปกลายเป็นคนบอบช้ำง่ายเหลือเกิน ทำให้บางทีก็ยากที่จะให้กำลังใจตัวเอง แล้วถ้าไม่หาทางรักษาใจให้อ่อนไหวน้อยกว่านี้ ก็อาจกลายเป็นคนกลัวความรัก ปิดประตูให้ตัวเอง ไม่กล้าเปิดใจ เพราะคุณรู้ว่าจุดอ่อนนี้มันยวบเกินไปที่จะรับไหว บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องสู้กับใจตัวเองสักตั้งนะ

1.ซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่เป็นไรถ้าจะบอกตัวเองว่า “ฉันอ่อนไหวกับความรักมากเกินไป”

มันไม่ได้ทำให้คุณดูอ่อนแอ หรือแพ้ใครเลย ถ้าแค่รู้ ระลึก ยอมรับว่า ฉันคือคนอ่อนไหวกับความรักมากเกินไป ถึงภายนอกคุณจะดูเท่ สตรอง รับได้ทุกสิ่ง แต่ในใจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นนะ คุณก็คือผู้หญิงที่ต้องการความรักดีๆ และอยากรักษาความรักที่ดีเอาไว้ พอมีอะไรกระทบกระเทือน ก็เลยหวั่นไหว แต่มันมาจากหัวใจที่ตั้งใจดีไม่ใช่หรือ  อยากรู้ว่าคุณอ่อนไหวกับความรักจริงไหม ลองจดความรู้สึกตัวเองในสมุดดูนะ ว่าอะไรที่ทำให้ใจหล่นวูบลงไปบ้าง อะไรที่ทำให้คิดมาก ดูแพทเทิร์นตัวเองซ้ำๆ จะรู้เลยว่าเราเป็นคนอ่อนไหวกับความรักมากไปจริงๆ

2.พอรุ้แล้วก็ลองเปิดใจ บอกกับคนรักของคุณดู

บอกเขาตรงๆ ว่าคุณมีจุดอ่อน และมันคือการที่คุณเป็นคนอ่อนไหวในความรัก เขาอาจจะรักคุณที่เป็นคน loving person รักที่คุณใส่ใจ มีความฝัน โรแมนติก แต่นั่นก็ทำให้คุณมีอีกด้านด้วย คืออ่อนไหวกับเรื่องความรัก ไม่อย่างนั้นคุณก็อาจเป็นคนที่ไม่แคร์เขา เย็นชา ไม่ใส่ใจเขาแบบนี้ เพราะฉะนั้นเหรียญมีสองด้าน บอกเขาได้ จะทำให้คุณสองคนเข้าใจจุด่อนชองกันและกันมากขึ้น

3.ฝึกไม่เอาทุกสิ่งเข้ามาอยู่ในใจ

มีคำพูดของคนที่มีรักยาวๆ มาแนะนำ เขาบอกว่า “ให้คิดซะว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย” ถ้าเทียบกับเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต เรื่องที่คุณเซนซิทีฟอาจเล็กน้อยไปเลย และคำพูดของคนเราเบี่ยงเบนได้ เขาพูดกับเราแบบนี้วันนี้ อาจเพราะอารมณ์ หรือปัจจัยอะไรมากระทบเขา แต่พรุ่งนี้เขาอาจไม่เป็นแบบนี้เลยก็ได้ เรื่องบางเรื่องก็อย่าเอามาเข้าตัวซะหมด ฟัง เฉย แล้วปล่อยออก เพื่อความสุขของตัวเราเอง เพื่อนอีกคนที่แทบจะไม่เคยเห็นเขาทุกข์เรื่องความรักเลยบอกว่า “ไม่เคยเอาเรื่องเครียดเข้ามา เพราะถ้าเครียดแปลว่ารักนั้นก็ไม่ดีแล้ว”

4.ปรับจูนข้างในตัวเราเองให้ดี

ก่อนที่เราจะรับทุกพลังงานเข้ามาทำให้เราเซนซิทีฟ เราอาจจะต้องกลับมามองข้างในเราด้วยเหมือนกัน ว่าเราได้เคยปรับจูนข้างในของเราไหม หรือเราแค่รับเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้สิ่งนั้นเข้ามาทำอะไรกับข้างในเรา จริงๆ แล้วเรามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะบอกกับทุกเซลล์ในร่างกายเราว่า “ฉันรักเธอนะ ต่อให้มีอะไรมากระทบ ฉันก็จะมอบความรักให้เธอ” นั่นคือเรากำลังให้พลังงานความรักตัวเราเอง มาเป็นเกราะคุ้มครองเรา ถ้าเราดูแลตัวเองได้เช่นนี้ ก็ยากขึ้นที่จะมีอะไรมากระทบเราแล้ว ปรับจูนข้างในตัวเองไว้ด้วย อย่ายอมให้อะไรมากระทบเราอย่างเดียว

5.คอยหาอะไรที่เป็นพลังงานที่ดีให้กับหัวใจเอาไว้

บางครั้งเราเซนซิทีฟก็เพราะ เรารับพลังงานอะไรที่ไม่ค่อยดีมาเยอะเกินไป ถ้าเราอยู่แต่กับคนที่มีแต่การว่าร้ายต่อกัน จับผิด คิดมาก เครียด เราก็อาจจะซึมซับสิ่งเหล่านี้มาด้วย จนทำให้หัวใจเปราะบางเกินไป พอมาถึงเรื่องของตัวเราเอง เราเลยอ่อนไหวแบบไม่มีเหตุผล และอาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่คอยให้คนอื่นๆ ตลอดเวลา ทำอะไรให้คนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นตลอด ก็เลยมีบ้างที่ล้าอยู่ข้างใน และอาจน้อยใจกับตัวเอง จนถ้าคนรักแตะต่อมอะไรนิด เราก็จะเซนซิทีฟเกินไปได้ เลยอาจต้องฉลาดพาตัวเองไปเจอกับใคร หรืออะไรที่ให้พลังงานดีๆ กับเราไว้เสมอด้วย

6.อยู่กับความคาดหวังที่อยู่บนความจริง

อีกเหตุผลหนึ่งของคนที่อ่อนไหวกับความรักมากเกินไป ก็เพราะว่าเขาอาจจะมองความรักชั้นพรหม สิ่งที่คาดหวังกับความรักมันสูงส่งยิ่ง จนหาได้ยากจังบนโลกแห่งความเป็นจริง เคยเป็นมั้ยว่าถ้าเราทุ่มเทกับความรักเท่านี้ เราก็คิดว่าคนอื่นคงทุ่มเท่านี้แบบเรา แล้วพอไม่เป็นเช่นนั้น เราเลยอ่อนไหว ถ้าเพียงแต่เรารักใคร เราก็แค่รัก แล้วกลับมาปรับจูนข้างในตัวเองให้นิ่งเอาไว้ เสถียรไว้ เราก็จะป้องกันตัวเอง ไม่ให้ต้องมีความสัมพันธ์อยู่บนความคาดหวังมากเกินไปด้วย

7.ออฟกับเรื่องราวความรักของคนอื่นบ้าง

เพราะบางทีเวลาเราเห็นความรักของคนอื่น เห็นใครให้ของขวัญปังๆ กันในโลกโซเชียล หรือในโลกความเป็นจริง เราจะชอบนึกถึงเรื่องตัวเอง แล้วเลยคิดว่าทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้น ก็เลยพาลเซนซิทีฟ ลองไม่ต้องไปใส่ใจกับเรื่องของคนอื่นดู กลับมาโฟกัสที่สร้างจิตใจเราให้เข้มแข็งแทน ยินดีกับสิ่งที่ตัวเองมี ใครมีอะไร เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น เห็นคุณค่าของความรักของตัวเองเยอะๆ เอาไว้แทน

8.สร้างพื้นที่ของเรา ที่ใครก็เข้ามาไม่ได้

ความเซนซิทีฟเป็นไปได้เหมือนกันที่อาจมาจาก การที่เรายอมเปิดพื้นที่ให้คนอื่นเข้ามามากเกินไป เข้ามาจนเราไม่มีสเปซ อึดอัด แล้วเลยต้องกลับมาทำร้ายตัวเราเองซ้ำ เราควรบอกว่า “ไม่ได้” ออกไปบ้าง หรือถ้าเป็นเวลาของเรา ก็อย่าไปใจอ่อนให้คนอื่นเข้ามาบ่อยๆ หวงแหนโลกของเราเอาไว้บ้าง ก็จะทำให้เรามีพลังใจเพียงพอ ที่จะไม่ต้องดิ่งไปเวลาที่ใครทำอะไรมากระทบเรา

9.บอกไปบ้างก็ได้ ว่าเราต้องการอะไร

ไม่เวิร์คเลยกับสิ่งที่เราทำได้เพียงพูดว่า “ได้ค่ะ” เสมอ เวลาใครขออะไรเราได้หมด แล้วยังเก็บความต้องการเอาไว้อีก ทั้งหมดจะสะสมเป็นความน้อยใจกับตัวเอง จนเซนซิทีฟในความรักไปเลย ยิ่งถ้าเราถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองก็แล้ว พยายามเป็นคนดีก็แล้ว ถ้าเขาเพี้ยนไปนิด เราอาจจะพังยวบ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นไม่ยอม และบอกตรงๆ ว่าเราต้องการอะไรอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องสนว่าเขาจะอารมณ์ขึ้นไหม ยืนหยัดบอกด้วยความตรงชัดจากใจเรา แล้วเราจะรู้ว่าตัวเรานั่นล่ะจะทำให้เราเซนซิทีฟน้อยลงได้เอง

อ่านเรื่องอื่นๆ ต่อได้ที่ 7 ความอ่อนไหวจนยวบ ของคน 35 อัพ

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']