ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Career, Uncategorized

อยากเปลี่ยนอาชีพตอนอายุ 30 ต้องทำยังไงดี? ตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อน

Career Change when 30

ทำงานมาสักพักตั้งแต่เรียนจบแล้ว มาถึงวันที่เราจะเข้าวัยเลข 3 อยากเปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพไปเลย แต่ก็อยากได้ไกด์อะไรบางอย่างว่าเราคิดถูกแล้ว

สมัครงานก็ว่ายาก แต่การเปลี่ยนงานก็เครียดและยากเหมือนกัน เพราะบางทีเราอยากเปลี่ยนอาชีพไปเลยเหมือนกันแต่ก็ไม่แน่ใจ หลายๆ คำถามถาโถมเข้ามา ฉันอดทนพอมั้ย แล้วจะมีความที่ดีกว่านี้มั้ย แล้วถ้าเจอแย่กว่าล่ะ แต่นี่อายุจะเข้าเลข 3 แล้ว ฉันเองก็ต้องการอาชีพที่ใช่จริงๆ และอยากทำยาวๆ ไปเลย อยากบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากเลยนะ ที่เราจะอยากรู้สึกเปลี่ยนงานตอน 30 เพราะเหมือนเราผ่านวัยรุ่น ผ่านความเป็นสาว first jobber มาประมาณหนึ่งแล้ว เราก็จะยิ่งอยากหาสิ่งที่ใช่มากขึ้นเรื่อยๆ

เราเปลี่ยนอาชีพได้ไหม ตอนวัย 30?

แน่นอนว่าคุณเปลี่ยนได้นะ!! คุณสามารถอยู่ดีๆ เปลี่ยนอาชีพไปเลยตอนอายุ 30 ได้ มีข้อดีด้วยก็คือเหมือนเพิ่งเริ่มมายังไม่ได้มากเท่าทำไปยี่สิบสามสิบปี ยังมีเวลาให้เรียนรู้ได้อีกเยอะ จริงๆ ถ้ารู้ตัวแต่แรกว่าไม่ชอบสายงานอาชีพนี้เลย คุณก็สำรวจตัวเองให้เข้าใจที่สุด แล้วตัดใจเปลี่ยนอาชีพได้เลย มีเยอะมากที่คนเรียนสถาปัตย์มา แล้วไปเป็นมาร์เก็ตติ้ง เรียนหมอมา แล้วไปเป็นนักธุรกิจ หรือเรียนบัญชีมา แล้วไปเป็นนักข่าว บอกเลยว่าไม่จำเป็นว่าเราต้องฝืนทำต่อ ทั้งๆ ที่ใจเรารู้ชัดว่ามันไม่ใช่

วัย 30 จะเป็นช่วงเวลาลุยที่ดีที่สุดในชีวิต!

สโลแกนหนึ่งที่เราอยากให้คุณมีในใจคือ “ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะไม่มีความสุข” ให้ยึดความสุขและความสมดุลของชีวิตเป็นที่ตั้งเอาไว้ ทำอะไรที่เราพอใจ เราได้ใช้ศักยภาพ ใช้ความเป็นตัวเอง เราจะรู้สึกก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ สนุกในการทำงาน มีความสุข เปล่งประกาย เหนื่อยหนักน่ะมีอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นความสุข เป็นแพชชั่น ต่อให้เหนื่อยยังไง เราก็จะลุกขึ้นมาทำไหวอยู่ดี

และในวัย 30 เราจะรู้จักตัวเองดีกว่า 20’s something แน่นอน เราจะรู้ว่าอะไรสำคัญในชีวิต รู้วิธีการทำงานของตัวเอง และรู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ความเข้าใจตัวเองจะทำให้เราอยากค้นหาอาชีพที่ใช่ และมักจะค้นเจอด้วยนะ วันนี้เป็นวันที่เราควร “ให้จิตวิญญาณลุกเป็นไฟ” เอาไว้ ลุกโชนเลยนะ พลังแบบนี้จะทำให้เราไปถึงทุกฝันที่เรามี

เรายังมีอีก 10 ปี 20 ปีที่ให้ลุยต่อด้วย

หลายๆ คนลาออกตอนนี้เพราะ “ถ้าล้มก็จะได้ยังมีแรงลุกขึ้นมาอีก” เขารู้ว่าวัย 30 เป็นวัยที่ยังเสี่ยงได้ ต่อให้ล้มพังยังไง เขายังมีเวลาอีกอย่างน้อย 20 ปีที่จะสร้างตัวเองขึ้นมา และมันนานพอที่จะทำอะไรก็สำเร็จได้เลย เป็นวัยที่มีแรงเหลือๆ ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิต และได้ใช้คอนเน็คชั่น ความเป็นตัวเองในวัย 20’s something ต่อยอดตัวเองต่อไป

คำถามให้คุณถามตัวเองก่อนจะเปลี่ยนอาชีพในวัย 30

เพื่อความชัวร์ เพราะเปลี่ยนอาชีพไปเลยถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นตัวกำหนดทิศทางให้ชีวิตคุณเลยนะ เลยตเองถามตัวเองให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อให้ได้มั่นใจอย่างที่สุดด้วย ลองถามตัวเองว่า

  1. ฉันทำสิ่งที่ทำอยู่ได้ดีจริงไหม?
  2. ฉันเอนจอยสิ่งที่ทำอยู่ไหม?
  3. มีความท็อกซิกในสิ่งแวดล้อมของงานฉันไหม?
  4. อะไรที่ฉันรู้สึกว่าไม่เวิร์คเลยกับอาชีพและงานที่กำลังทำอยู่
  5. ฉันรู้สึกมีความท้าทายเพียงพอกับงานนี้ไหม?
  6. ฉันมีแพชชั่นอะไรบ้าง?
  7. ฉันเห็นตัวเองทำอะไรแบบมองยาวๆ เลย
  8. ฉันพร้อมทิ้งทุกอย่างที่สร้างมา แล้วเริ่มใหม่ให้เริ่ดขึ้นไหม?
  9. ฉันมีทักษะ ความถนัดกับอาชีพและงานแบบไหนจริงๆ?
  10. อะไรสำคัญในชีวิตฉัน?
  11. จุดมุ่งหมายในชีวิตฉันคืออะไร?
  12. ถ้าเปลี่ยนอาชีพตอนนี้ จะกระทบกระเทือนการเงินของฉันไหม?
  13. แล้วถ้าสิ่งที่ทำตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันจะยังทำงานนี้ อาชีพนี้อยู่ไหม?
  14. ถ้าฉันเลิกทำอาชีพนี้ไปเลย ฉันจะได้อะไร?
  15. แล้วถ้าฉันเลิกทำอาชีพนี้ ฉันจะเสียอะไรบ้าง?
  16. ฉันหวังอะไรที่อยู่บนความเป็นจริงไหม?
  17. ฉันต้องการให้ชีวิตเป็นยังไงในอีก 5 ปีข้างหน้า?

9 ข้อนี้ลองเวิร์คกับตัวเองก่อนเปลี่ยนอาชีพในวัย 30 นะ

เอาให้แน่ๆ กันอีกครั้ง ตั้งใจเวิร์คกับตัวเองเลยนะ

1.ทบทวนและสำรวจงานที่เราทำอยู่ตอนนี้ให้ดีๆ

ลองหายูทูบ อ่านเคสจริงๆ ของคนที่เปลี่ยนอาชีพตัวเองมาแล้ว บางคนทำสำเร็จจากนางพยาบาลไปเป็นนักเขียน และก็ไปได้ดีเลยด้วย ศึกษาวิธีเปลี่ยนจากเขาเหล่านั้น พร้อมๆ กับสำรวจและทบทวนกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ให้ดีๆ ทำแบบประเมินตัวเองอย่างซื่อตรงที่สุด ลองย้อนกลับไปหาเหตุผลที่วันแรกที่เราเลือกทำงานนี้ ตอนนั้นมีอะไรที่บดบังความจริง หรือเราโน้มเอียงอะไรหรือเปล่า เราเลือกเพราะ “น่าจะทำได้” “เพื่อนบอก” “แม่มาบิ๊ว” หรือเปล่า?

2.ทำลิสท์ของสกิลล์ที่เรามีและแพชชั่นของเรา

ต้องเผชิญความจริงแล้วล่ะ นั่งลิสท์ตรงๆ ว่าเรามีทักษะและแพชชั่นอะไรบ้าง เช่น เก่งตัวเลข เก่งเขียนสตอรี่ เก่งวางระบบ ลองเขียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา และเขียนสิ่งที่เราชอบทำ ที่เป็นแพชชั่นเราเอาไว้ด้วย บางครั้งอาจเป็นเรื่อง เรามีความตรงเวลา เรายืดหยุ่นก็ได้เลยนะ เพราะทั้งหมดที่เราลิสต์มาจะทำให้เรามองตามความเป็นจริงว่า เราเหมาะกับอาชีพที่เราจะไปต่อไหม?

3.ปักหมุดอาชีพใหม่ของเราเอาไว้

ใช้ข้อมูลจากสองข้อข้างบนเอามาจัดวางจุดอ่อนจุดแข็งของเรา ว่าแมทช์กับอาชีพอะไรบ้าง คิดให้รอบด้าน ทั้งเรื่องผลตอบแทน ระยะเวลาทำงานให้จบ ความยืดหยุ่นในตัวงาน การได้เจอผู้คน และคิดถึงหนทางที่จะทำให้เราก้าวหน้าเอาไว้ด้วย ไปแบบฝันยาวๆ ไปเลย ลิสต์เป็นอาชีพ ตำแหน่งงานที่เหมาะกับเราออกมา

4.เริ่มมองหาอาชีพใหม่ งานใหม่นั้น

ต้องรีเสิร์ชจริงจังเลยนะ อย่ามโนคิดไปเอง เพราะอาจมีอะไรที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่ บางบริษัทมีตำแหน่งงานที่คาดไม่ถึง และนั่นอาจเป็นสิ่งที่เหมาะกับเราที่สุดได้ ให้ค้นหาให้สนุกและเปิดโลกตัวเองเอาไว้ รวมทั้งคุยกับคน คอยเปิดกว้างเอาไว้ด้วย

5.รีเฟรชเรซูเม่ของเรา

เริ่มปรับเรซูเม่ให้เกียร์ไปทางอาชีพใหม่ที่เราอยากเป็นได้เลย อย่าไปกลัวว่าจะไม่เข้ากับแบ็คกราวน์ดของเรา มั่นใจในแพชชั่นและสกิลล์ตัวเองเอาไว้ ถึงเราจะไม่มีประสบการณ์ แต่ความสดและแพชชั่นจะนำพาเราให้เริ่ดในอาชีพนั้นได้แน่นอน เข้า LinkedIn รัวๆ เลยนะ และโพสต์เล่าเรื่องตัวเองใน FB ได้เลยด้วย

6.ฝึกสกิลล์เพิ่ม และหาประสบการณ์ที่แมทช์กับอาชีพที่เราอยากเป็น

เช่นถ้าอยากเป็นนักเขียน ก็เขียนออกมาเลยอย่าไปกลัว อยากทำมาร์เก็ตติ้ง ก็ลองอาสาช่วยทำแบรนด์ของเพื่อนไปก่อน และไปลงเรียนเพิ่มกับผู้รู้ ขาเน็ทเวิร์คที่เป็นอาชีพที่เราอยากเป็น แล้วขอเวลาไปพูดคุยกับเขาด้วย

7.เตรียมแมเนจเงินเก็บของเราให้ดี

ตอนเปลี่ยนอาชีพสิ่งที่จะทำให้เราเครียดที่สุดก็เรื่องเงินนี่ล่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวเรื่องนี้ เวิร์คว่าเราจะสร้างอาชีพใหม่โดยไม่มีเงินเข้าได้มั้ย ถ้ายังหรือทำงานเดิมไปก่อนแล้วเวิร์คคู่ไปด้วยกัน หรือเรามีเงินเย็นเก็บไว้เผื่ออะไรที่จำเป็นด้วยมั้ย ถ้าไม่แน่ใจเรื่องนี้ต้องถามผู้รู้หรือคนที่มีประสบการณ์มาก่อนเลยนะ

8.พาตัวเองออกไปตรงนั้น

ถ้าเรามัวแต่คิดแล้วไม่พาตัวเองไปหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นอาชีพที่เราอยากเป็น เราก็จะไม่ได้เห็นความจริงในอาชีพนั้น เอาใจ เอาตัวย้ายออกไปด้วย เรียกว่าเหมือนไปผจญภัยในโลกใหม่ไปเลย เหมือนเรากำลัง manifest บอกจักรวาลด้วยว่า ฉันพร้อมแล้วนะ ฉันไม่ลังเลแล้วนะ

9.ทำงานที่ทำอยู่ให้ดีด้วย

ไม่ใช่ว่าพอเรารู้ว่าอยากเปลี่ยนอาชีพ ก็เริ่มหยิ่งเลยกับงานที่ทำอยู่ เราไม่มีทางรู้เลยว่าหัวหน้างานปัจจุบันนี่ล่ะ อาจเป็นสะพานพาเราไปในอาชีพที่เราอยากเป็นได้ หรือคอนเน็คชั่นจากเพื่อนที่ทำงาน รักษาน้ำใจ ความเป็นมิตร และโปรเฟสชันนัลเข้าไว้นะ

ที่เหลือก็เชื่อในตัวเอง ถ้ารู้แน่ชัดแล้วบอกตัวเองว่า “done is done” ไม่ต้องลังเลแล้วลุยเลย!!

อ่านเรื่องราวอื่นต่อได้ที่ คำทำนายเรื่องงานปี 2023

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']