ใครจะคิดว่าวันนี้เรากำลังอยู่ในช่วง “Great Career Shift” ประสบการณ์เปลี่ยนอาชีพครั้งสำคัญของชีวิต!! ช่างพลิกผัน ช่างกะทันหันจนไหวตัวแทบไม่ทัน!!
ตอนเราเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยก็แอบสงสัยเล็กๆ แล้วว่า ฉันจะจบมาได้ทำงานที่ตรงกับที่เรียนมั้ย ก็พยายามประคับประคองตัวเองให้มาถูกทางที่สุด แต่ปีนี้ 2025 บอกเลยว่าไม่ง่ายอีกต่อไป! เราถึงกับต้องมานั่งพิจารณา “หรือถึงเวลาที่ฉันต้องเปลี่ยนงานที่ข้ามสายไปเลยแล้ว” “หรืออะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วจริงๆ” เราทุกคนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสภาวะ “การเปลี่ยนงานครั้งสำคัญของชีวิต” กันอยู่ ถ้าคุณกำลังอ่านมาถึงตอนนี้ บอกเลยนะว่า “You are not alone.!!”

จากผลการเก็บข้อมูลล่าสุดของ CVWizard ได้ความมาว่า “66% ของเจน Z, 65% ของเจน Y, 40% ของเจน X และ 15% ของเจน Baby Boomers มีแผนที่จะเปลี่ยนอาชีพกันปีหน้า” ที่น่าสนใจที่สุดคือ “ตอนนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจหน้าสิ่งหน้าขวาน และมีความไม่มั่นคงทางอาชีพ แต่คนทำงานกลับรู้สึกอยากเปลี่ยนงานมากๆ นั่นล่ะ”
มีข้อมูลเพิ่มอีกด้วยว่า “พนักงานมากกว่า 6 ใน 10 คนไม่พอใจกับงานในปัจจุบัน พวกเขามีเหตุผลที่ไม่พอใจยาวมากกว่า 10 เหตุผล!!” พนักงานเหล่านี้พร้อมที่จะทำอะไรใหม่ๆ ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นย้ายงานไปบริษัทใหม่ หรือการเปลี่ยนสายงานไปเลย อันนี้ล่ะที่จะทำให้เกิด “Great Career Shift” คือไม่จำเป็นต้องปักธงให้กับสายงานเดิมที่ทำอีกต่อไปแล้ว
คนทำงานบางคนก็เปลี่ยนนิสัยการใช้เงินไปเลย มีน้องพนักงานบริษัทคนหนึ่งบอกว่า “จริงๆ ปีนี้ฉันวางแผนจะช้อปแฟชั่น บิวตี้ต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนทุกปีนะ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอยากซื้อเลย ฉันรู้สึกว่าฉันใช้เงินหมดไปมากกว่าความจำเป็น และตอนนี้ทุกครั้งที่ฉันจะซื้ออะไร ฉันจะใช้วิธีคิดด้วยว่าซ์้อแต่ละครั้งเนี่ย คุณค่าที่ฉันได้รับมันจะคุ้มกันไหม คือต่อให้ฉันชอบยังไง แต่ฉันก็ไม่อยากรู้สึกแย่ๆ ว่าฉันฟุ่มเฟือยเกินไป”
คนทำงานต้องการความมั่นคงมากขึ้น?
ความจริงของปีนี้คือพนักงานจะมีความคุ้นเคยที่แต่ละปีจะต้องได้เงินเดือนมากขึ้นกว่าที่ได้ แต่ปีนี้พวกเขากลับหวั่นๆ ว่าเขามีความเสี่ยงจะถูกลดเงินเดือนไหม ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้อมูลของ CVwizard บอกมาว่า 2 เหตุผลหลักที่คนอยากเปลี่ยนงานที่สุดคือ “พนักงานต้องการเงินเดือนสูงขึ้น และความมั่นคงในงานที่เพิ่มขึ้น” และเหตุผลอื่นๆ ที่ตามมาก็คือ พวกเขาต้องการการเติบโต ต้องการประกันสุขภาพทีเริ่ด วันหยุดที่เพิ่มขึ้น การทำงานแบบ work from home แผนการเกษียณอายุ และอะไรที่ทำให้พวกเขามั่นใจว่า เขาจะได้รับการคุ้มครองในระยะยาว
การเติบโตในงานถือเป็นเหตุผลอันดับสามรองลงมาที่ทำให้พนักงานอยากเปลี่ยนงาน “พนักงาน 1 ใน 5 รู้สึกติดขัดกับบทบาทหน้าที่ในปัจจุบัน และอยากได้โอกาสในอาชีพการงานเพิ่มขึ้น” ตรงนี้ล่ะที่ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะข้ามสายงานไปเลย อะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีโอกาสเติบโต เขายินดีที่จะเปลี่ยนสายงานไปทำในสายที่ทำให้อาชีพการงานเขาโตขึ้นโดยรวม เขาพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่ม และปรับตัวเองกับสิ่งใหม่มากขึ้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงานก็คือ “พวกเขาอยากมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้น” ตรงนี้เป็นควันหลงมาจากการ work from home ช่วงโควิด เขาชินกับการไม่ต้องกระเสือกกระสนฝ่ารถติดไปทำงาน หรือการ work from home ที่สามารถแว่บไปทำธุรกส่วนตัวได้บ้าง หรือไปนั่งประชุมงานตามร้านกาแฟ พวกเขารู้สึกว่าเป็นการทำงานที่ยืดหยุ่น และเป็นตัวเองมากกว่าการต้องไปตอกบัตรเข้าออฟฟิศ ถ้าบริษัทไม่ปรับให้พวกเขามีวิถีทำงานเช่นนี้ พวกเขาก็พร้อมจะหางานใหม่กันเลยทีเดียว เพราะเขามองว่าการเข้าออฟฟิศทุกวัน ช่างเชยไปแล้ว

คุณพร้อมไหมที่จะเปลี่ยนแปลงอาชีพตัวเองในปี 2025
การเปลี่ยนสายงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ต้องวางแผนให้ดี และเสี่ยงทีเดียวกับการปรับตัวไม่ได้ ใครจะเปลี่ยนสายงานต้องเตรียมตัวให้ฉลาดเข้าไว้ อาจจะหางานที่อยากเปลี่ยนสายทำเป็นจ๊อบๆ ก่อน หรือทำเสริมเป็นฟรีแลนซ์ ต้องฝึกสกิลล์และสร้างพอร์ตตัวเองเอาไว้ด้วย และต้องฝึกเครื่องมือในการทำงาน โปรแกรมใหม่ๆ ไว้อย่างแรง หรือจะอาสาสมัครทำไปก่อนเพื่อเข้าใจงานมากขึ้นก็ได้ สำคัญคือต้องมั่นใจว่าเส้นทางอาชีพใหม่นี้ จะเหมาะสมจริงๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะตลาดงานตอนนี้กำลังเครื่องสั่นอย่างมาก
คอนเน็คชั่นก็เป็นอีกเรื่องที่คนทำงานยุคนี้ใส่ใจกันมาก การเปลี่ยนสายงานอาจมาจากการได้พูดคุยกับคนข้ามสายงานมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นนิสัยเรามาก่อน กิจกรรมที่สร้างคอนเน็คชั่น คลาสเรียนที่เจอคนหน้าใหม่ๆ แม้กระทั่งการเข้าคลาสออกกำลังกาย ทั้งหมดก็ต้องทำเพิ่มเพื่อให้เราหูตากว้างไกลขึ้นด้วย
แล้วบริษัทจะทำยังไงกับการเปลี่ยนแปลงสายงานครั้งใหญ่นี้?
ปีนี้มีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย อย่างเทรนด์แอบรับงานนอก แอบเอาวัน work from home ไปรับจ๊อบ เทรนด์ลาออกแล้วลบไฟล์ทั้งหมดเพื่อแก้แค้น หรือเทรนด์เสี้ยมลาออกกันยกทีม เรียกว่าบริษัทเองแรกๆ ก็อาจยิ้มที่พนักงานลาออกจะได้ลดต้นทุน แต่พอหนักเข้าๆ บริษัทก็หาคนทำงานไม่ทัน งานที่จะได้เพิ่มก็อาจติดขัด เทรนด์คนใหม่ก็ไม่ง่าย ต้องงมกันอีกยกใหญ่
“Great Career Shift” จึงเป็นมหกรรมครั้งสำคัญของวงการงานทั้งโลกได้ เป็นภัยคุกคามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพครั้งใหญ่ อาจส่งผลให้กับทั้งบริษัทและพนักงาน และอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ทำลายความสามัคคีของทีม เพิ่มต้นทุนในการหาคนมาแทน สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่ดี พนักงานไม่คิดจะทำแค่งานประจำอย่างเดียว และอาจเกิดอำนาจการต่อรองใหม่ ที่พนักงานท็อปๆ ถือไพ่เหนือกว่าบริษัทได้ พวกเขาอาจได้เงินเดือนที่สูงขึ้น และทำงานได้ยืดหยุ่นขึ้น ในขณะเดียวกันพนักงานที่ไม่ใช่ตัวท็อปนั่นล่ะอาจจะภาระหนักขึ้น และเกิดสภาวะดื้อเงียบ เป็นสงครามเย็นในที่ทำงานได้เหมือนกัน
ไม่ว่าคุณกำลังหมดไฟ หรือกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนสายงานอยู่ดีไหม หรือมีงานอะไรเข้ามาทำให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา อินสไปร์ขึ้นล่ะก็ การเปลี่ยนสายงานไปเลยก็น่าสนใจนะ อาจเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด และอาจเปิดโลกใหม่ๆ ให้คุณได้ต้องยึดติดกับโลกเดิม ถึงจะต้องเปลี่ยนตัวเองและเรียนรู้เพิ่ม แต่ก็อาจเป็นโอกาสให้คุณได้ขยับขยายความเป็นตัวเองออกไป ก็ขอให้อดทนและตั้งใจให้ได้นะ เอาให้เชี่ยวชาญและกลายเป็นตัวท็อปเลยนะ