ตำนานความรักซึมเข้าไปในใจจาก The Bridges of Madison County ที่สุดแห่งไอเดียความรักที่จุดประกายในใจเรามาเกือบ 30 ปี หนังเรื่อง The Bridges of Madison County สุดยอดหนังรักที่อยู่ในหัวใจรุ่นพี่เจนเอ็กซ์ ลองถามสิว่าหนังรักอะไรน้ำตาแตกและซาบซึ้งที่สุด ชื่อของ The Bridges of Madison County ที่ฉายในปี 1995 มีพระเอกคือปู่คลินท์ อีสต์วู้ด และเมอรีล สตรีพแสดงนำ จะเป็นเรื่องที่ทุกคนบอกเราว่า “อย่าพลาดหนังรักเรื่องนี้นะ” แบบว่าขึ้นลิสท์ท้อปทรีที่ต้องดูเลย
ทำไมน่ะเหรอ? เพราะนี่คือหนังรักดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันที่ โรเบิร์ต เจมส์ วอลเลอร์ เขียนมาได้กระทบกระเทือนต่อมความรักในใจรุนแรงที่สุด ไม่ได้กระทบแบบกระชาก และหวือหวานะ แต่คือการตอดๆ ซึมๆ ในแต่ละฉาก แต่ละอาการของตัวแสดง บทพูด แววตา จนก่อเป็นก้อนความรักที่รู้สึกได้ในใจ และไม่ลืม!
ถ้าจะให้แนะนำคือ “ให้อ่านหนังสือก่อน แล้วค่อยดูหนัง” จะละเมียดยิ่งกว่า หนังสือเรื่องนี้คือเบสท์เซลเลอร์แห่งยุคนั้น เล่มเล็กๆ แต่ทำเอาผู้ชายแมนๆ ร้องไห้กันหมด พี่เอ๋ บอกอคลีโอบอกว่า “พี่อ่านครั้งแรกร้องไห้ตลอดหลังอ่านได้ครึ่งเล่ม” รุ่นพี่ผู้ชายอีกคนบอกว่า “พี่อ่านจบแล้วไปร้องไห้โฮกกับตัวเองตอนอาบน้ำ”
เพราะ…นี่คือเรื่องราวความรักที่นักเขียนเขียนมาจากไอเดียความรัก “ที่ไม่สมหวัง แต่กลับแนบแน่นในใจได้จนตายจากกันไป” เป็นความรักที่มาจากความเข้าใจ ของคนที่ใช้ชีวิตมากันแล้ว หัวใจใฝ่หาแบบอะไรก็มาขวางไม่ได้ แต่เขากลับหยุดมันไว้ตรงนั้น
เป็นเรื่องราวของช่างภาพ National Geographic โรเบิร์ต คินแคด ที่ขับรถตามถ่ายสะพานมีหลังคา เขาอยากถ่ายสะพานโรสแมนในไอโอวา เขาขับถามทางจากเจ้าของบ้านหนังหนึ่ง เจอกับฟรานเซสก้า จอห์สัน แม่บ้านชาวอิตาเลียน ที่แต่งงานกับทหารอเมริกัน แล้วย้ายมาอยู่ไอโอวา คลินท์คือโรเบิร์ต เมอรีล สตรีพคือฟรานเซสก้า ผู้ชายที่เห็นโลกมาหมดแล้ว กับผู้หญิงที่ทิ้งความฝันเพื่อครอบครัว แต่จักรวาลนำพาสองคนนี้ให้มาเจอกัน รักกัน และเหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน ที่สุดท้ายเลือกที่จะจากกัน “เพื่อรักษาความรักต่อกันไว้”
เวลาดูเรื่องนี้ให้สังเกตในทุกสิ่งทุกอย่างนะ เพราะคือความค่อยๆ ซึมไปในใจเราเรื่อยๆ ตั้งแต่ซีนแรก จดหมายที่โรเบิร์ตเขียนให้ฟรานเซสก้า “ผมกัดฟัน รวบรวมสติเพื่อให้ผมยังดำเนินชีวิตต่อไปได้ ทั้งที่รู้ว่าเราต้องเดินกันคนละทาง แต่พอผมมองผ่านเลนส์กล้อง คุณก็มาอยู่ตรงนั้น พอผมลงมือเขียนบทความ ผมกลับเขียนหาคุณ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่า เราต่างส่งใจถึงกัน ส่งใจถึง 4 วันนั้นมาตลอดชั่วชีวิตเรา…ผมสัญญาว่าจะไม่เขียนหาคุณอีก”
กลิ่นของความรักที่มาในทุกถ้อยคำในจดหมาย ผู้เขียนเรื่องนี้ตอนที่เขียนข้อความแบบนี้ เขาคงต้องใช้อัตราการเต้นของหัวใจจังหวะที่ช้ามากๆ และเต็มไปด้วยความรู้สึกรักที่เต็มหัวใจมากๆ เช่นกัน
ในทุกซีนที่เป็นแววตา ท่าทางของเมรีล สตรีพ และโรเบิร์ต บอกถึงอาการเขิน กล้าๆ กลัวๆ ดีใจ ตื่นเต้น ฉากตั้งแต่แรกที่เธอนั่งบนรถเขา แต่แอบมองทุกกิริยาของเขา ท่าทางที่เขาเปิดเก๊ะหน้ารถ ความลังเลตอนเขาถามว่าเอาบุหรี่มั้ย เป็นอาการเริ่มของความรัก จนไคลแม็กซ์ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราดูแล้วรู้สึกถึงความรักนั้นตาม
บวกกับความสงสัยในการใช้ชีวิตของโรเบิร์ต เธอคือแม่บ้านที่ไม่มีทางไปไหนได้ แต่เขาคือนักผจญภัยเห็นโลกกว้าง ประโยคจากเขาหลังจากที่เธอบอกว่า เธอมาจากเมืองในอิตาลีเล็กๆ ที่ไม่น่ามีใครรู้จัก แต่เขากลับบอกว่า “ผมเคยไปนะ ผมนั่งรถไฟผ่าน เป็นชนบทที่สวยงาม ผมก็เลยลงไปพักสองสามวัน” เธอสงสัยว่า คิดแค่นี้แล้วไปเลยได้เหรอ “คุณแค่ลงรถไฟเพราะมันสวยเลยเหรอ” บอกถึงการมองโลก การใช้ชีวิตที่ต่างกัน
และพอเจอฉากที่โรเบิร์ตถามฟรานเซสก้าว่า “คุณรู้สึกยังไงกับไอโอว่า” เธอบอกเขาว่า “ฉันชอบไอโอว่านะ แต่มันไม่ใช่ฝันของฉันตอนที่ฉันเป็นเด็กสาว” คือคำตอบที่บอกถึงหัวใจของฟรานเซสก้า ว่าเธอนั่นล่ะอยากเป็นแบบเขา
หนังฉายความลังเล แต่เอาเว้ย! เป็นไงเป็นกันของนางเอก ท่าทางที่ฟรานเซสก้าชวนเขากินดินเนอร์มื้อแรกด้วยกัน บอกทุกอย่างในใจเธอแล้ว สายตาที่แอบดูเขาอาบน้ำ ตอนเตรียมอาหารที่เธอยิ้มกับตัวเองแล้วบอกตัวเองว่า “ดีจังเลย” นั่นคือยิ้มของผู้หญิงที่กำลังมีความรัก และเพียงมีเขาอยู่ ก็ทำให้เธอเอนจอยโลกของเธอตอนนั้น กับคำถามที่เธอขอให้เขาเล่าเรื่องตื่นเต้นที่เขาเจอให้เธอฟังหน่อย แล้วบอกเขาว่า “ฉันอยากไปจัง”
จนเธอได้อยู่ในวงแขนของเขา ฉากที่ฟรานเซสก้ารับโทรศัพท์ มีเพื่อนเธอโทร.เล่าถึงช่างภาพที่ขับผ่านเข้ามาในเมืองให้ฟัง เธอฟังเพื่อนพร้อมเอามือจัดปกคอเสื้อโรเบิร์ตตอนเขานั่งที่โต๊ะ แล้วเอามือวางบนบ่าเขา เหมือนจะบอกเขาเป็นนัยว่า “ไม่เป็นไรนะ” เป็นฉากที่อบอุ่นมาก นั่นทำให้เขาหันมามองมือเธอ แล้วเอามือเขาวางทาบ เป็นจุดเริ่มต้นของการไปสู่การเมคเลิฟ หลอมเป็นความรักอันแนบแน่น
และประโยคในร่างเปลือยใต้ผ้าห่มของทั้งสองกับคำพูดของฟรานเซสก้าว่า “พาฉันไปที่ไหนก็ได้ ตอนนี้เลย” ความรู้สึกผิดได้กลายมาเป็นความเข้าใจตัวเองที่สุดของฟรานเซสก้า เธอเขียนในจดหมายว่า “ตัวฉันเหมือนเป็นคนอีกคน แต่กลับเป็นตัวฉันเองกว่าที่ฉันเคยเป็นมา” เหมือนมีอะไรมาแทงในใจเรา ยิ่งถ้าใครต้องพยายามเก็บความตัวเองไว้เพื่อรักษาอะไรบางอย่าง คำพูดนี้น้ำตาไหลได้เลยนะ
การถ่ายทอดความรักทางสายตาที่ไม่โจ่งแจ้ง แต่ชอนไชเข้าไปในใจของทั้งสอง เราดูแล้วรู้สึกทุกครั้ง สายตาโรเบิร์ตที่มองฟรานเชสก้า ถ้าเราเป็นเธอก็คงต้องเขิน และพร้อมจะทรุดเข้าไปในแขนเขา สายตาที่ฟรานเซสก้ามองโรเบิร์ตตอนที่เธอถอดสร้อยคอสวมให้เขา แล้วบอกว่า “Keep it” คือความรักจากใจ
เลยอยากให้เวลาดูเรื่องนี้ ลองซึมๆ กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เอาไว้ ตอนไคลแม็กซ์ของเรื่องจะท่วมท้นขึ้นมาให้สะอื้นเฮือกแน่นอน ฉากที่โรเบิร์ตเหมือนจะรู้ว่าฟรานเซสก้าคงไม่ทิ้งครอบครัวไปกับเขา เขาบอกเธอว่า
“ผมไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งแน่นอนที่จะมาแค่ครั้งเดียวในชีวิตเรา”
เขาขับรถจากเธอไป และเธอเจอเขาอีกครั้งก่อนที่เขาจะออกจากเมือง รู้เลยว่าเขารอเธอเปลี่ยนใจ ฉากที่เขายืนมองเธอกลางสายฝนเป็นครั้งสุดท้าย ขับรถเลื่อนออกไป รถติดไฟแดง รถเธอที่สามีเธอขับจอดข้างหลังรถเขา ฟรานเซสก้าเห็นเขาก้มหยิบสร้อยที่เธอให้ เอามาพันกระจกหน้า มือของฟรานเซสก้าจับลูกบิดประตูไว้แล้ว เธอบิดมันแล้ว เขากระพริบไฟรอเธอ สักพักเขาก็เลี้ยวรถจากเธอไป ฟรานเซสก้าปล่อยโฮไม่สนใจสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ
เธอบอกว่า “มันผิดต่อหัวใจที่ฉันเลือกจะอยู่ แต่บอกฉันอีกครั้งเธอว่า ทำไมฉันถึงควรไปกับคุณ” ฟรานเซสก้าเลือกที่จะเก็บความรักของเธอและเขาเอาไว้ เพราะเธอเชื่อว่า “ถ้าฉันไปกับคุณ ฉันจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต และนั่นจะทำลายความรักของเรา” เราจะกลายเป็นสิ่งที่เราเลือก เหมือนกับประโยคที่เธอพูดว่า “We are the choices that we’ve made.