คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง
ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา
แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา…
การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ
แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ?
แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย
เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ
เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ
การเปิดบริษัทรับงานที่ต้องคอยหางานจากลูกค้า อันนี้ก็ต้องฝ่าคลื่นลมหนักๆ และต้องพุ่งเป้าไปที่งานและเงินของคนอื่น เช่น เปิดเอเจนซี่ โรงพิมพ์ กราฟิก เฮาส์ บริษัทรับออกแบบ กับงานเต้าทุกสิ่งออกมาจากตัวเราแล้วบอกโลกออกไปโดยไม่ต้องทำตามสิ่งที่ใครอยากได้ งานที่นำเสนอความเป็นตัวเราอย่างเดียว อันนี้สิที่เข้มข้นที่สุด
ขอเรียกการทำงานแบบนี้ว่าแบบ Artist’s way (พี่เต้ เพื่อนสนิทเป็นคนอธิบายคำนี้ให้ฟัง) งานแบบนี้สิ่งที่ต้องบอกตัวเองคือ ตายเป็นตาย มีทางเดียวเท่านั้นที่ต้องไปให้ถึง แล้วต้องไปให้สุดด้วย ถอยไม่ได้เพราะไม่มีทางให้ถอย ก็จะอาชีพอย่าง อาร์ติสท์ นักเขียน คนสร้างอะไรขึ้นมาขาย โค้ช ดีไซเนอร์ เจ้าของแบรนด์สินค้า เจ้าของร้านอาหารต่างๆ บล้อกเกอร์ ยูทูเบอร์ นักดนตรี
สิ่งที่ต่างจากทำงานแบบมีคนกางร่มก็คือ เราต้องสร้างทุกสิ่งขึ้นมาเองกับมือ ปักโครงสร้างการทำงาน วินัย ความสม่ำเสมอ ความตั้งใจ และต้องพยายามจนล้นมากๆ ท้อก็ต้องลุกขึ้น หันไปก็ไม่มีใครช่วยพยุง ต้องลุกขึ้นมาเองอย่างเดียว ใจต้องแน่น จิตวิญญาณต้องชัด และต้องเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยเรียนรู้ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ได้รับอาจไม่สม่ำเสมอทุกเดือน และต้องคอยถามตัวเองตลอดว่าเรามาถูกทางมั้ย เหมือนเป็นการต่อสู้กับทั้งตัวเองและโลกภายนอกไปพร้อมๆ กัน
ความสำเร็จของงานไม่ใช่เงินหรือความปลอดภัยในชีวิต แต่คือความพอใจของเรา คือความสุขที่มาจากคนที่ได้รับสิ่งที่เราสร้าง คือความรู้สึกที่ไม่มีอะไรต้องเถียงกับตัวเองอีกแล้ว ถ้าใครผ่านไปได้ ก็จะเหมือนตอบทุกโจทย์ในเรื่องงาน ไม่มีอะไรที่คาใจอีกแล้ว เพราะไม่ต้องทำตามใครบอก ไม่ต้องพึ่งร่มใหญ่ของใคร และเราได้วัดศักยภาพของเราเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ผลสุดท้ายเป็นยังไง นั่นคืออิสระสุดขีดของเราแล้ว
เลือกร่มที่ใช่ ต้องใช้การเข้าใจตัวเองสูงๆ และสกิลล์การจัดการตัวเองหลายๆ เรื่อง บวกกับใจที่พร้อม แพชชั่นที่เอ่อล้น คิดให้ครบด้าน ที่เหลือก็ต้องลุยไปให้สุด และอาจต้องรอเวลา รอจังหวะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ทำให้สุด คิดให้สุด และรู้สึกให้สุด เราจะไม่เป็นคนทำงานเก่งแต่กดข่มความรู้สึก มีเงินเดือนเยอะแต่ไม่รักใครเลย เรายังมีสิ่งที่มากกว่างานนะ ก็คือกาย ใจ จิตวิญญาณ ตัวเราที่เราต้องคอยดูแลอยู่ด้วยนะ เพราะเราไม่อยากหันมาอีกทีแล้วบอกตัวเองว่า “ฉันทำอะไรลงไป ทำไมไม่มีอะไรมีความหมายเลย” ให้งานคือสิ่งที่สนุก ขับเคลื่อน และต่อยอดความเป็นเรากันนะ
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ต่อได้ที่ เกลียดงานแต่ต้องฝืนทำ