ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Love, Relationship

ความรักของ ที เจ็ตเซ็ตเตอร์ “เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เราเลยเข้าใจกันมากๆ”



คงเป็นความน่ารัก ง่ายๆ ของเธอ แน็ต ผู้หญิงที่ดูใจเย็น อบอุ่นคนนี้ ที่ที เจ็ตเซ็ตเตอร์แต่งเพลง “คนที่ใช่” ให้ เขาร้องเซอร์ไพรส์เธอในงานแต่งงาน วันนี้เขามีลูกชายตัวน้อย 2 คน เป็นอีกครอบครัวที่สนุก เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และถ้าอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจะรู้เลยว่า สองคนนี้รักกันมาก

ทีกับแน็ตไม่ได้แสดงอาการสวีทอะไรออกนอกหน้า ไม่ต้องนั่งข้างๆ กันตลอดเวลา เขาดูเรียบๆ ในความเป็นคู่รัก แต่ไม่รู้สิ ทำไมเราถึงรู้สึกได้เหลือเกินว่าเขารักกันมาก เหมือนมีออร่าอะไรออกมาจากตัวของพวกเขาตลอดเวลา ทำให้เรามีความสุขตอนนั่งอยู่ข้างๆ แล้วพอได้ฟังเรื่องความรักของเขา เข้าใจเลยว่า อะไรทำให้เขาส่งพลังรักโดยไม่ต้องพูดกันได้มากขนาดนี้

ทีไม่ได้อวยแน็ต และแน็ตไม่ได้อวยทีนะ เริ่มจากคำถามง่ายๆ จากเราที่ถามแน็ตไปว่า “เป็นยังไงบ้าง รักกับศิลปิน?” แน็ตตอบทันทีว่า “จิตต้องแข็ง เหมือนได้ฝึกจิตตลอดเวลา” และเธอฝึกมาเป็นเวลา 11 ปี ก่อนที่ทั้งสองจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกัน “การมีนักร้องเป็นแฟน เราต้องปล่อยวางมากๆ เขาจะกลับดึกตลอด เวลาในชีวิตเขา จะสวนกับเรา เราตื่นเช้า แต่เขานอนเช้า เขาส่งข้อความว่าถึงบ้านแล้วนะตอนตี 3 แล้วเรารู้ว่าเขามีแฟนสาวๆ มาฟังตลอดเวลา”

แล้วทำไมล่ะ ผู้หญิงคนหนึ่งถึงต้องมาลุ้นทุกวันกับผู้ชายคนนี้ แน็ตบอกว่า “เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย คือเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเป็นแฟนกับที เขาก็มีแฟนของเขาด้วย” ทีเองก็เล่าถึงแน็ตว่า “แน็ตเป็นคนน่ารัก เป็นผู้หญิงใจดีของกลุ่มเรา เป็นคนที่เจอแล้วจะรู้สึกถูกชะตา แต่ผมก็ไม่ได้ปิ๊งเขานะ เพราะผมก็มีแฟนอยู่” แน็ตพูดขึ้นมาเลยว่า “เรายังติดรถเขากลับบ้าน ตอนเขาไปส่งแฟนเขาเลย”

ทั้งสองก็เป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ มาพีคตอนที่ทีเลิกกับแฟน “ผมก็เลิกกับแฟนไป คือไม่คลิกกันเท่าไหร่ แล้วก็ยังไม่ได้คิดอะไรกับแน็ตนะ” จนมาไคลแม็กซ์ที่วันหนึ่งเมื่อทั้งกลุ่มเพื่อนนัดกันไปเดินเล่นจตุจักร ทียังไม่อยากแยกย้าย ก็เลยมองหาเพื่อนว่าจะมีใครไปกับเขาต่อได้บ้าง “ชวนใครก็ไม่มีใครไป มีแต่แน็ตที่บอกว่าไปก็ได้ เราเลยไปดูหนังเรื่อง Bridget’s Jones Diary กัน ไม่รู้สึกอะไรนะ แล้วก็ไปกินข้าว ไปร้านเพื่อนที่เป็นผับเล็กๆ กัน ปรากฏว่าโรแมนติกเฉยเลย”

เหตุผลที่ทำให้ทีรู้สึกว่าเรื่องราวโรแมนติกได้เกิดขึ้นแล้วก็เพราะ เขาและแน็ตคุยกันสนุก ถูกคอ คุยกันได้เรื่อยๆ สนุกจนพอทั้งสองแยกย้าย ทีก็มารู้สึเอ๊ะในใจบางอย่าง “มันขึ้นมาเลยว่า เอ๊ะ อยู่กับเขาสนุกดีแฮะ มันยังไงเนี่ย แล้วมีโมเมนท์ที่ทำให้ผมวูบไปเลยก็คือ ตอนที่ขับรถกลับ ตอนนั้นเที่ยงคืนพอดี เราติดอยู่สี่แยกไฟแดงเดียวกัน บ้านผมเลี้ยวซ้าย บ้านแน็ตเลี้ยวขวา ผมไปจอดข้างๆ แล้วยังไม่ยอมเลี้ยวรถ รออยู่เป็นเพื่อนเขา ให้เขาไปก่อน ตอนนั้นเราก็ยิ้มให้เขา แล้วบ๊ายบาย”

ถามทีว่าตอนนั้นสปาร์คแล้วหรือยัง? เขาบอกว่า “ใจผมคืออยากดูแลเขา เพราะตรงนั้นก็เปลี่ยวมาก ผมเป็นห่วงเขาต่อ พอแยกกันไปได้สักพัก ผมก็จะถามว่าเขาถึงบ้านหรือยัง?” ทางแน็ตเองบอกตอนคุยกับเราว่า “นี่พูดเรื่องนี้แล้วยังขนลุกเลยค่ะ” เพราะเอาเข้าจริงรอยสปาร์คในใจได้เกิดขึ้นกับทั้งสองคนแล้ว ณ โมเมนท์นั้น “พอแยกจากกันปั๊บ เราคิดมาตลอดทางเลยว่า มันเกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมเราอยู่ด้วยกันสองคนแล้วมีความสุขขนาดนี้ แล้วมันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น บอกตัวเองเลยว่า เราคงไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ถ้าเขาคิดเหมือนกัน เขาต้องโทร.มาหาเรา แล้วเขาก็โทร.มา จำได้ว่าก่อนรับโทรศัพท์คือยิ้มออกมาเลย”

หลังจากนั้นแน็ตและทีก็นัดเจอกันบ่อยขึ้น ยังไม่ได้บอกเพื่อนในกลุ่ม ทั้งสองตั้งใจว่าจะค่อยๆ เรียนรู้กัน จนในที่สุดก็เป็นแฟนกัน เขาทั้งสองรักกันก่อนที่ที จะเป็นที Jetset’er แน็ตบอกว่า “ไม่ใช่ว่าชีวิตรักเราจะโรยด้วยกลีบกุหลาบนะ เราทำเลาะกันยุบยิบตลอด เป็นความเด็กของเราทั้งคู่ ความต้องการก็ไม่ตรงกัน แต่พอผ่านมาเยอะ ก็เริ่มเบื่อที่จะทะเลาะ แล้วมันเหมือนได้เรียนรู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง ก็เลยรู้วิธีที่จะหยุดทะเลาะ สุดท้ายเรื่องทะเลาะเลยไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเราสองคน”

แล้วแน็ตก็เริ่มเข้าสู่การต้องฝึกปล่อยวางเมื่อมีคนรักเป็นนักร้องดัง ทีเองกลับดึกเกือบทุกวัน ทั้งสองไม่ได้มีเวลาไปเดทกันนานๆ เหมือนตอนเรียน ทำงานกันคนละเวลา แต่สิ่งหนึ่งทีทีทำเสมอคือ เขาจะต้องแวะไปหาแน็ตแทบทุกวัน ไปแค่ 5 นาทีก็ยังดี “ผมรู้ทางไปบ้านแน็ตมากกว่าแน็ตอีก ผมอาจไม่ได้มีเวลาอะไรมาก แต่ผมจะต้องไปหาเขา ไปเจอหน้า ถึงจะอุ่นใจ” แน็ตเองก็ได้เข้าใจนิสัยทีมากขึ้นๆ เธอบอกว่าตรงนี้ล่ะที่สำคัญ และทำให้รักกันได้นาน “เรามองเห็นตัวตนของเขามาตลอด และชัดขึ้นๆ เราเลยรู้ข้อดี ข้อเสียของเขา เอาไว้ระลึกในใจตัวเองว่า ข้อดีที่เขามีเราแฮปปี้ขนาดไหน และข้อเสียเรารับได้ขนาดไหน อย่างเขาเอาใจเราเก่ง แต่ตื่นสาย แต่พอตื่นแล้ว เขาจะโทร.หาเราก่อน”

จนมาถึงวันที่ทีขอแน็ตแต่งงาน คนอื่นอาจจะคิดว่าคนเป็นศิลปินน่ะ เขาอยากครองความเป็นโสดนานๆ แต่ไม่ใช่สำหรับที เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าเราสุกงอมกันแล้ว บางคนคิดว่าแต่งงานแล้วทุกอย่างจะดรอพลง แต่ผมไม่คิดแบบนั้นเลย พ่อแม่ผมอยากเลี้ยงหลานแล้ว ผมก็เลยคิดว่าแต่งงานเลยดีกว่า” ทีขอแน็ตแต่งงานวันวาเลนไทน์ ตอนแรกทีวางแผนจะขอแน็ตแต่งงานระหว่างเล่นคอนเสิร์ตบนเวที แต่งานกลับยกเลิก เขาเลยจองตั๋วพาแน็ตไปเชียงใหม่กะทันหัน “ก็มีเซ็ตสถานที่กันเงียบๆ แล้วที่นั่นมีวงดนตรีมาเล่น ผมเลยไปขอแจม แล้วผมก็ของแต่งงานเลย”

และเพลง “คนที่ใช่” ก็คือเพลงที่ทีแต่งให้แน็ต ในเอ็มวีผู้หญิงในนั้นก็คือแน็ตตัวจริง เขามาร้องเซอร์ไพรส์แน็ต ถามแน็ตอีกทีในวันนี้แน็ตบอกว่า “ยังเขินอยู่เลยค่ะ” ในความมีคนรักเป็นศิลปิน ก็จะโรแมนติกแบบนี้นี่เอง มาถึงตอนที่เราถามว่า แล้วแต่งงานเสร็จไปฮันนีมูนกันที่ไหร ตอนนี้ทียิ้มกว้างมากบอกกับเราว่า “พอแต่งงานเสร็จก็ไปฮันนีมูน ที่อังกฤษ ฝรั่งเศส มีความสุขมากครับ” ไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้เขาและแน็ตก็ยังดูมีความสุขมากๆ กันเหมือนกัน

ถามว่าแล้วอะไรที่ทำให้ทั้งทีและแน็ตรักกันมายาวนาน จนมีครอบครัวที่น่ารักกันแบบนี้ ทีบอกว่า “เราชอบอะไรที่พอดีเหมือนกัน บางทีก็คิดเหมือนกัน เป็นคนเลี้ยงง่ายทั้งคู่ ไม่เรื่องเยอะ ไม่ไฮโซ ผมว่าศีลเสมอกัน สงสารเหมือนกัน ใจดีเหมือนกัน ไม่ชอบเหมือนกัน มันก็เลยเข้าทาง” แน็ตเองบอกเหมือนทีเป๊ะ เธอบอกว่า “เราศีลเสมอกัน ถ้าคนหนึ่งคิดลบ อีกคนหนึ่งก็จะฉุดกันขึ้นมา เราให้อภัยกันง่ายๆ ไม่เรื่องเยอะ ไม่โกรธกันนาน แล้วเราเข้าใจว่าแต่ละคนเป็นยังไง ใจเย็นให้กัน เราเลยผูกพันกันมาก และรักกันลึกมากๆ แบบนี้ล่ะค่ะ”

คลีโอถึงบอกว่า รู้สึกจริงๆ นะว่าสองคนนี้รักกันมาก ขอให้รักของทีและแน็ตอินสไปร์ทุกคนนะ ใครทะเลาะกันอยู่ ลองมาฟังกัน ใจเย็น และให้อภัยกัน ให้เรามีจิตใจที่พร้อมไปด้วยกัน แล้วที่เหลือก็เอนจอยโลกนี้กันเลยนะ

คลีโอขอขอบคุณเรื่องราวความรักดีๆ ของทีและแน็ต :))

#CleoInspiringStory #CleoLove

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']