**มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง**
ทำไมพูดถึงเรื่องภาวะซึมเศร้าแล้วเราต้องนึกถึงนักเขียน เพราะอาชีพนี้นักเขียนหรือกลุ่มคนอาชีพศิลปินส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ได้ทำงานประจำ มีรายได้เป็นประจำทุกเดือน จะได้เงินก็ต่อเมื่อมีงานส่งหรือขายงานออกเท่านั้น
เงินที่ไม่สม่ำเสมอ เวลาทำงานก็ไม่แน่ไม่นอน บวกกับความโดดเดี่ยว เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่าคนทำงานสร้างสรรค์จะมีความเสี่ยงในการเผชิญสภาวะผิดปกติทางอารมณ์ที่สูงขึ้นในทุกปี ทั้งโรคซึมเศร้า, ไบโพลาร์ ทั้งนี้นักจิตวิทยาก็วิเคราะห์ว่ามันอาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ของการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่มักจะแยกกันไม่ออก
Ernest Hemingway
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนชื่อดังผู้รอดตายจากเหตุการณ์เครื่องบินตก แต่เลือกจบชีวิตด้วยตัวเองเมื่อปี 1961 ในวัย 61 ปี ด้วยปืนลูกซองแฝด
อาชีพนักเขียนของเออร์เนสต์ นวนิยายเล่มแรกของเขาตีพิมพ์ในช่วงปี 1926 แปลว่าอาชีพนักเขียนเริ่มต้นมาก่อนหน้านั้น และมันยังคงเติบโตมาพร้อมกับตัวเขาจนแม้เขาหมดลมหายใจไปแล้ว เออร์เนสต์ยังค้างต้นฉบับอยู่ เขาถูกวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยโรคซึมเศร้าต้นปี 1960 แต่ในยุคนั้นไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้หรอก ไม่กี่เดือนถัดมามีการเปรยๆ กับผู้ช่วยนักเขียนถึงการฆ่าตัวตาย
เออร์เนสต์กลายเป็นชายที่นั่งมองแผ่นกระดาษว่างเปล่า น้ำตาไหล เหมือนไร้วิญญาณ เรื่องการฆ่าตัวตายยังฝังอยู่ในความคิดและแม้จะเคยพยายามแต่ไม่สำเร็จจนเช้าวันที่ 2 กรกฎาคมปี 1961 นั่นเอง มีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ มีภาวะโรคซึมเศร้านี้อาจเป็นยารักษาโรคความดันของเขา
3 เล่มหนังสือชื่อดัง : A Moveable Feast, The Old Man and the Sea, The Sun Also Rises
Vincent van Gogh
Vincent van Gogh – Self-Portrait with Grey Felt Hat – Van Gogh Museum
ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ หรือ วินเซนต์ แวน โก๊ะ ที่คุ้นหูคนไทยมากกว่า เขาเพิ่งจะกลายมาเป็น ‘ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่’ หลังจากที่เขาได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแทบไม่มีใครให้ความสำคัญทั้งกับตัวศิลปินหรือแม้แต่ผลงานของเขา
วินเซนต์เป็นชาวดัตช์ หรือชาวเนเธอร์แลนด์ที่มีบุคลิกเก็บตัว เขาให้คุณค่ากับงานศิลปะตั้งแต่ยังไม่เริ่มเป็นศิลปิน แต่ในขณะเดียวกันก็สนใจในด้านศาสนาด้วย ช่วงที่ไปเทศนาช่วยเหลือคนในเหมือง เขาก็เริ่มวาดภาพผู้คน ค้นพบว่าศิลปะนี่เองที่ช่วยเยียวยาจิตใจจากความรู้สึกหดหู่จากปัญหาชีวิตที่รุมเร้าได้ จนได้ย้ายไปปารีสและทำความรู้จักกับศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำลังเฟื่องฟู เขาเลยหันมาทำงานศิลปะอย่างจริงจัง
ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าโทนสีที่วินเซนต์ใช้ในงานของเขาจะเป็นโทนสีหม่นๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโทนสีร้อนแรง สดใส อินสไปร์จากกลุ่มศิลปินกลุ่มแวนการ์ดอย่าง ปอล โกแกง แม้เขาจะได้เจอเพื่อนใหม่ แต่ภายในจิตใจก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ถูกแก้ไข ภาวะซึมเศร้าทำให้เขามีปากเสียงกับเพื่อนรักเสมอ จนวันที่เขาคว้ามีไล่ฟันโกแกง ผลก็คือต้องเสียทั้งเพื่อนรักไป และได้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลจิตเวชอยู่เป็นประจำ
ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตเพื่อวาดภาพนั้นไม่นานเพียงแค่สิบกว่าปี แต่มีงานศิลปะเกิดขึ้นถึงกว่า 2,100 ชิ้น และมีหลายต่อหลายชิ้นที่ซ่อนความเป็นไปของสภาพจิตใจของเขาเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด อย่างงานสุดท้าย Wheatfield with Crows ที่นักวิจารณ์มองว่ามันสื่อถึงการมองหาทางออกให้กับชีวิตของเขาเอง หลังวาดภาพนี้ที่ทุ่งนา เขาก็คว้าปืนลูกโม่มายิ่งเข้าซี่โครงด้านซ้ายของตัวเอง แต่ยังไม่สิ้นใจในทันที เขายังมีแรงเดินกลับมาร้านกาแฟที่เขาพัก และรักษาตัวอยู่สามวันจนสิ้นใจในวันที่ 29 กรกฎาคม 1890 ด้วยวัย 37 ปี
3 ภาพชื่อดัง :
Kurt Cobain
เคิร์ต โคเบน ฟรอนต์แมนของวง Nirvana ราชาเพลงกรันจ์ กับจุดที่ชื่อเสียงที่พุ่งจนถึงขีดสุดที่เขาอาจทำได้ไกลกว่านี้ เคิร์ตตั้งวงดนตรีกับเพื่อนในวัย 20 ปี และแทบจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในไม่กี่ปีหลังจากนั้น แต่สำหรับเขายังรู้สึกว่าผู้คนที่ฟังเพลงเขาส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
เขามีโรคประจำตัวคือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและมักจะปวดท้องด้วยอาการกระเพาะอักเสบเรื้อรัง เคิร์ตทดลองกัญชาเป็นครั้งแรกเมื่อ 13 ปี และหลังจากพ้นวัยรุ่นมาทั้งยาเสพติด เหล้า และภาวะซึมเศร้าที่รุมเร้าเขาพอๆ กับชื่อเสียง ส่วนเฮโรอีนเขาเริ่มใช้เมื่ออายุ 19 ปี และสาเหตุที่เขาใช้เฮโรอีนมาเรื่อยๆ เพราะมันทำให้เขาหายจากอาการเจ็บปวดท้อง แต่คนรอบตัวกลับไม่เห็นด้วยและมองว่าเพราะเฮโรอีนนี่แหละที่ทำให้เขาเจ็บป่วย
มันทั้งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขา กายและใจ และส่งผลต่อการทำงาน ต่อวงดนตรีและงานที่ต้องรับผิดชอบ จนครั้งหนึ่งในปี 1992 เขาเคยเสพยาเกินขนาดแต่ยังไม่ตาย เพราะคอร์ทนีย์ เลิฟ ภรรยาของเขาช่วยชีวิตได้ทัน และปีถัดมาก่อนวันที่จะมีงานแสดงเคิร์ตเสพยาเกินขนาดอีกครั้ง คอร์ทนีย์ไม่ได้เรียกรถพยาบาลแต่ฉีด naloxone ให้เขามีสติกลับมาแทน วันรุ่งขึ้นคอนเสิร์ตก็เกิดขึ้นเป็นปกติ
จนในปี 1994 ช่วงต้นปีหลังจากหยุดทัวร์คอนเสิร์ตลงที่เยอรมัน เขามีอาการหลอดลมและกล่องเสียงอักเสบขั้นรุนแรง เลยบินไปรักษาตัวที่โรมพร้อมกับภรรยา วันถัดมานั่นเองเคิร์ตดื่มแชมเปญผสมกับยานอนหลับเกินขนาด เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีและหมดสติไปตลอดทั้งวัน นั่นอาจเป็นการพยายามฆ่าตัวตายครั้งแรกของเขา
และครั้งถัดมา 8 เมษายน 1994 แกรี่ สมิธ ช่างไฟฟ้าที่เข้ามาติดตั้งระบบไฟรักษาความปลอดภัย พบเคิร์ต โคเบน นอนไร้วิญญาณอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของเขาเอง มีปืนวางข้างตัว และได้เขียนจดหมายลาตายเอาไว้ฉบับหนึ่ง ในร่างของเขามีเฮโรอีนความเข้มข้นสูง จากผลการชัณสูตรพบว่าเคิร์ตน่าจะเสียชีวิตมาตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 1994 แล้ว เขาสิ้นใจในวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น
3 เพลงดังจาก Nirvana : Smells Like Teen Spirit,
Lithium
Come As You Are
นี่เป็นเพียง 3 ตำนานไร้ลมหายใจที่จากโลกนี้ไป แต่ทิ้งทรัพย์สินที่อาจตีเป็นมูลค่าไม่ได้แน่ชัด ความสามารถของพวกเขาที่ทั้งต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ แม้ว่าไม่อาจจะต่อสู้ความสภาวะทางจิตใจเพื่อมีชีวิตอยู่ไปนานกว่านี้ได้ แต่พวกเขาก็ได้สร้างผลงานที่ถูกยอมรับไปทั่วโลก
ชื่อเสียงที่ต้องแลกมากับช่วงเวลาอยู่บนโลกที่สั้นเกินไป แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากจะลาจากไปด้วยภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคง