ฉันไม่โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคน “มองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น”

ฉันไม่ได้โชคดีแบบนั้น ฉันไม่ได้โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคนมองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น มองเห็นความเจ็บปวดของฉัน และอยากฉุดฉันขึ้นไป ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่ฉันจะบอกตัวเองได้ดีไปกว่า “ยอมรับความจริงเถอะ” ทุกครั้งเวลาที่ฉันเห็นใครๆ เขารักกัน ความหวังในใจ ความเพ้อทุกครั้งที่กดแอปสีดำแดงเพื่อเลือกซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ โจทย์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องเป็นเรื่องที่ฉันสามารถสมมุติตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องได้ แล้วจินตนาการต่อว่า บางทีฉันอาจจะเจอผู้ชายในชีวิตจริง ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่อง หนังสือฮาวทูบอกว่า ให้คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุด แล้วตัดออกให้เหลือสัก 10 ข้อว่านั่นคือคุณสมบัติผู้ชายที่อยากได้ ฉันลองทำและกุมลิสท์นั้นไว้แน่นในกระเป๋าสตางค์ เอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ด้วย บางทีที่เขาบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จะมอบพลังงานของความรักดูดใครให้เข้ามาในชีวิต ฉันจะเอาลิสท์นั้น ออกไปหาแสงจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนึกถึงเขา แน่นอนว่าฉันมีความเชื่อ ยังคงเชื่อ และก็จะเชื่อต่อไป เรื่องราวในโทรศัพท์กับเพื่อนสาว เราจะวนเวียนกันที่ซีรีย์ที่เพิ่งดู กรี๊ดพระเอก อยากบินไปเกาหลี แล้วเราก็จะกลับมาที่เรื่องของเรากัน ทำไมเพื่อนคนนั้นได้แฟนดีจัง แฟนเขาพาไปเมืองนอกบ่อยมากเลย เขาไปทริปกันอีกแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่พยายามหาเรื่องเน่าๆ ในเรื่องรักของคนอื่น “แต่พวกเขาอาจมีอะไรไม่แฮปปี้ก็ได้นะ พวกเราไม่มีทางรู้หรอก” มันคงเป็นคำปลอบใจที่เราบ่นให้กันฟัง แต่ฉันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิตอยู่ดี “ที่เธอเหนื่อยเพราะไม่มีคนรักหรือเปล่า?” ประโยคจากเรื่อง My Liberation Notes หัวหน้าของพี่สาวนางเอกถามขึ้นมา หลังจากที่เธอมาทำงานแล้วบ่นว่าเหนื่อยๆๆๆๆ ทำไมชีวิตฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้ […]

คุณหมอสา-Guardian Diamond พี่สาวที่เปิดประตูลับ ช่วยเคลียร์พลังงานลบให้คุณพบความสำเร็จ

ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]

5 วัดปังในฮ่องกง ขออะไรเทพให้รัวๆ

“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

“อกหัก” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดกับฉัน ฉันเลิกโกหกตัวเองสักที

เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]




Women's Stories

จักรวาลการเดินทาง ของสาวแกร่ง วัย 59 ที่ไม่เคยปล่อยให้พาสปอร์ตหมดอายุ



ตอนแรกตั้งใจว่าพออายุ 60 แล้วจะกบดาน ปลีกวิเวก ไม่ไปไหนแล้ว แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าวปีหน้าก็จะ 60 ยังมีแพลนไปอเมริกาใต้ตอนเดือนเมษา และยังมีอีกหลายทริปเล็กทริปน้อย คงไม่ได้แล้วล่ะ…

นี่คือคำพูดที่ยอมใจให้เลย กับเธอคนนี้ ที่เราแอบยกให้เป็นไอดอลในเรื่องของการเดินทางมาตลอดหลายปีที่เริ่มแอบส่องเฟสบุ๊ค “พี่สน” หรือ ปฐมภิญญา ลันสุชีพ อดีตคนทำงานธนาคาร ที่ยอมเกษียณอายุทำงานก่อนจะถึงวัยเกษียณ เพื่อจะได้มีเวลาท่องโลกอย่างไม่กดดัน และมีความสุข

ถามถึงเหตุผลที่ออกเดินทาง สำหรับผู้หญิงร่างเล็ก แต่ใจไม่เล็ก เพราะคนที่สามารถปั่นจักรยานทัวริ่งท่องยุโรปได้เป็นเดือน เทรคกิ้งพิชิตยอดเขามาแล้วหลายยอดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้น ดำน้ำเธอก็ยังไปอยู่เรื่อยๆ หรือเที่ยวยุโรปแบบแบกเป้เป็นเดือนเธอก็สู้…เรียกว่าทุกกิจกรรมในระหว่างการเดินทาง หากจะช่วยเพิ่มรสชาติและสีสัน ท้าทายและเปิดโลก ผู้หญิงคนนี้สามารถทำได้หมดอย่างน่าอัศจรรย์

“เป็นคนอยากเห็นโลกกว้าง ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และรู้สึกว่ามีอะไรอีกมากในโลกนี้ที่เรายังไม่รู้ มีอะไรแบบนี้ในโลกนี้ด้วยเหรอ เวลาไปข้างนอกมันเปิดมุมมองชีวิต ทำให้เราปรับตัวได้ และทำให้เราไม่ตัดสินคนว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้แบบนั้น เพราะคนในแต่ละประเทศ คัลเจอร์แต่ละประเทศก็ต่างกัน ทำให้เราเป็นคนที่ยอมรับหลายๆ อย่างในชีวิตได้ง่ายขึ้น

“อย่างตอนไปอินเดีย คือ Love&Hate จริงๆ เพราะเรารู้ว่าอินเดียจะเก่งสุดๆ ในการหลอกคน แต่พอเราได้ไปเห็น เราก็จะรู้ว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น เพราะปัจจัยสี่ในชีวิตเขายังไม่สมบูรณ์เลย เขาก็จะหลอกนักท่องเที่ยวให้ได้เงินโดยที่เขาไม่คิดหรอกว่าชื่อเสียงประเทศเขาจะเสียมั้ย เพราะแค่ปัจจัยสี่เขายังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตอนกลางวันพอโดนหลอก พอตอนกลางคืนกลับมาก็คุยกับเพื่อน สงสารเขา ที่เขาหลอกเรา เราต้องเข้าใจ ไม่โกรธเขาเนอะ เพราะเขายากจนเลยทำแบบนี้ พอตื่นเช้ามาออกไปข้างนอก โดนแขกหลอกอีก เราก็โมโหอีก พอตอนเย็นกลับมา ก็คุยกับเพื่อนอีก เราต้องเข้าใจเขา พอเช้าออกไปเจออีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน โดนหลอกทุกวัน ก็ทำให้เราได้ฝึกปลงทุกวัน ปล่อยวางทุกวัน

“แล้วอย่างไปเทรคกิ้งที่เนปาล ก็ได้ฝึกอีกแบบ ถ้าอยู่บ้านเราเวลาทำอะไรก็จะวางแผนเป๊ะๆ ทุกอย่าง พอไปถึงเนปาล จะสั่งอาหาร เราก็คิดว่าพอเดินไปถึงเที่ยงกินข้าว เราต้องออกสักบ่ายโมง เพื่อไปถึงที่พักไม่เกินห้าโมงเย็น เนปาลก็เอิงเอย ค่อยๆ สับไก่ กว่าจะได้กินข้าวเสร็จปาไปบ่ายสอง ตอนแรกๆ เราก็…เอ๊ะ ทำไมเขาไม่รีบทำ แต่ผ่านไปพักหนึ่งมันก็ทำให้เราปรับตัวได้ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เพราะคัลเจอร์เขาเป็นแบบนั้น ยูเป็นใครมาจากไหนจะไปเร่งชีวิตเขาทำไม เราต่างหากที่มาจากที่อื่น พอคิดอย่างนี้ได้ ก็ไม่เป็นไร ระหว่างรอก็ชมนกชมไม้ ถ่ายรูป พอเราคิดแบบนี้ได้ชีวิตก็ง่ายขึ้น อย่าเอาตัวเองไปเป็น Center ของทุกอย่างในโลกนี้”

สำคัญที่สุดคือ “เพื่อน”

หลายคนที่ฝันอยากออกเดินทาง แต่ก็มีอุปสรรคหลายอย่างทำให้ติดขัดไม่อาจไปไหนตามใจอยากได้ แต่สำหรับเธอคนนี้ เมื่อตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะออกท่องโลก หลังจากเริ่มเดินทางตั้งแต่สมัยมัธยม ไม่นับตอนเด็กที่ไปกับครอบครัวที่พี่สนบอกว่า มีรูปถ่ายกับศาลากลางจังหวัดครบทั้ง 73 จังหวัดนั่นแล ไม่ร้องว้าวไม่ได้แล้ว 

“พ่อเป็นคนชอบเที่ยวมากเราจะมีรูปตอนเด็กๆ ครบทุกจังหวัด บางรูปก็ยังตัวเล็กๆ ใส่กางเกงในตัวเดียวก็มีนะ เลยคิดว่าเป็นเพราะครอบครัว ที่พ่อชอบเที่ยว เลยทำให้เราติดมาโดยไม่รู้ตัว พอตอนมัธยมก็เริ่มเที่ยวในประเทศไทยก่อน สมัยก่อนถ้าจะไปเมืองนอกตอนเราเด็กๆ ยังไม่ง่ายเหมือนเด็กสมัยนี้ กว่าเราจะได้ไปเมืองนอกก็อยู่มหาวิทยาลัย แล้วพอไปเราก็แบกเป้ไปเอง เราไม่ได้ใช้ทัวร์ เพราะเราไม่ชอบรีบร้อน เราชอบเดินพิพิธภัณฑ์ เดินดูผู้คน จิบชา นั่งคุยกับชาวบ้าน หรือบางทีเราไม่ต้องเช็กลิสต์ทั้งหมดของประเทศนั้นก็ได้ ไปแค่ที่ที่เราอยากไปก็พอ

“แต่ว่าการเดินทางเพื่อนสำคัญที่สุด ตอนเดินทางแรกๆ เรามีเพื่อนที่เที่ยวกันประจำเป็นเพื่อนมัธยมผู้ชายสนิทกันมากแบบเป็นเพื่อนจริงๆ เราจะไปกันสองคน แล้วชอบเหมือนกันทุกอย่าง ชอบไปแบบเรื่อยๆ เช่นไปตุรกีทริปนึง 20 วัน บางทีเดินผ่านสถานีตำรวจ เข้าไปแวะ นั่งคุย จิบน้ำชา คุยกับตำรวจ คือถ้าไปกับเพื่อนแบบเดียวกันก็จะทำได้ 

“พอเราโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็จะมีเพื่อนหลากหลายกลุ่ม มาเจอเพื่อนที่เป็นทำกิจกรรมเล่นกีฬาด้วยกัน เพราะเราชอบคนเล่นกีฬา อย่างน้อยเขาเป็นคนที่มีน้ำใจนักกีฬาอยู่ระดับหนึ่ง เพราะบางที ถ้าไปขึ้นเรือ ไปดำน้ำ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน 5 วัน ตลอด 24 ชั่วโมง อยู่บนเรือในที่แคบๆ 20 คน ก็จะมี สัก 3-4 คน ที่เคมีตรงกัน แล้วในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วพวกนี้ก็จะเป็นประเภทเดียวกัน ปีนเขา ดำน้ำ วิ่ง ขี่จักรยาน ตีเทนนิส”    

นักเดินทางต้องแข็งแรง

ปฐมภิญญา เป็นผู้หญิงร่างเล็ก ดูอ่อนกว่าวัย ใจเด็ด มีนิสัยแมนๆ ขณะเดียวกันก็ยังชอบแต่งตัวสวยสมวัย ไม่ปล่อยให้ความร่วงโรยมาเยือนไปพร้อมเลขอายุที่กำลังวิ่งไปข้างหน้า เธอเป็นคนดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีงานวิ่งให้คนอยากออกไปวิ่งเหมือยสมัยนี้

“สมัยก่อนพอเลิกงานก็จะไปวิ่งแถวๆ ที่ทำงาน ตั้งแต่ไหนแต่ไรที่ยังไม่มีใครวิ่ง ไม่วิ่งก็ว่ายน้ำ ส่วนตีเทนนิสก็ตีมาตลอดตั้งแต่อยู่ ป. 6 ป. 7 แม่ให้ไปเรียนที่กรมพละศึกษา สนามกีฬาแห่งชาติ เราก็ตื่นตี 5 ถือไม้เทนนิส ขึ้นรถเมล์ไปลงสยาม แล้วก็เดินไปสนามกีฬา มาถึงตอนนี้นึกย้อนไป ตอนนั้นเราก็อยู่แค่ป. 6 ป. 7 ทำไมเราถึงตื่นไปแต่เช้า ทำไมเราเป็นเด็กมีวินัยขนาดนี้นะ แปลว่าเราคงต้องชอบจริงๆ กีฬาที่ชอบที่สุดคือเทนนิส แต่ถามว่าตีดีมั้ย ไม่ได้ดีมาก แต่ชอบที่จะได้ออกไปตี อันดับสองคือวิ่ง อันดับสามก็เป็นจักรยาน ดำน้ำก็ชอบ แต่ชอบบรรยากาศของการดำน้ำที่สุด ชอบมากกว่าการดำน้ำ ชอบการอยู่บนเรือ ตอนเย็นๆ ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ นั่งดูพระอาทิตย์ตก กินข้าว คุยกัน มองทะเล สงบๆ เงียบๆ มีความสุข”

บอกตัวเองว่าสำเร็จทุกอย่างก็สำเร็จ

ในขณะที่หลายคนถามหาความสำเร็จ หรือโหยหาเวลาสำหรับการได้ทำอะไรที่อยากทำ แต่สำหรับปฐมภิญญา เธอบอกว่า“ความรู้สึกว่าตัวเอง success ในการได้ทำสิ่งที่ชอบได้หลายอย่าง เป็นความรู้สึกที่รู้สึกได้ตั้งแต่ตอนอายุ 30 กว่าๆ แล้ว ตอนนั้นรู้สึกขอบคุณตัวเอง ขอบคุณชีวิตจริงๆ ที่ทำไมฉันรู้สึกว่าฉันมีความ Self Actualization ที่ทำให้มาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกขอบคุณชีวิต ขอบคุณตัวเอง”

สำหรับคนที่อยากออกไปท่องโลกบ้างอย่างเธอ ก้าวแรกเลย ขอเพียงกล้าที่จะเปิดใจ

“เราต้องเปิดใจ ครั้งแรกอาจจะไม่กล้า โลกอาจจะดูกว้าง อาจลองไปกับทัวร์ดูก่อนว่าชอบมั้ย การได้เห็นวัฒนธรรมอื่นๆ ทำให้เราได้ปรับตัวและได้กลับมาใช้ชีวิต สมมติไปทัวร์แล้วชอบ ต่อๆ ไปก็ลองเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ แล้วก็ค่อยๆ เขยิบไป  ญี่ปุ่น ไปดูว่าเราจะแบบไหน จากนั้นคุณก็เขยิบไปยุโรป ค่อยๆ ไปทีละเสต็ป

“หรืออีกแบบหนึ่งคือถ้าเป็นคนชอบธรรมชาติ อาจจะลองไปเดินป่า ลองปีนเขาง่ายๆ เริ่มจากในประเทศก่อน แล้วถ้ามั่นใจว่าชอบแนวนี้ก็เขยิบไป…เนปาลเป็นอะไรที่เจ๋งที่สุด สุดยอด เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเปลี่ยนโลกไปอีกแบบหนึ่งเลย คนซื่อๆ   ครั้งแรกที่ไปเนปาล ไปที่พูนฮิลล์ มีช่วงหนึ่งที่เดินผ่านเป็นที่โล่งๆ แล้วเห็นเทือกเขาหิมาลัย ไกด์ก็ชี้ให้ดู เราก็รู้สึกโห…ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่ มนุษย์เราช่างเป็นอะไรที่เล็กมาก เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของโลกเอง จากเมื่อก่อนที่เราคิดว่าเราเจ๋งทำได้ทุกอย่าง แต่วันนั้นทำให้ยังจำความรู้สึกที่เห็นยอดเขาหิมาลัยครั้งแรกได้ ว่าเรานี่ช่างเล็กจิ๋วมากจริงๆ จากนั้นก็หลงรักและไปเนปาลบ่อยมาก ไปมา 7-8 รอบแล้ว”

ล่าสุดสาวแกร่งคนนี้ก็ไปปั่นจักรยานทัวริ่งที่ยุโรปมาเป็นครั้งที่ 2

“ทริปล่าสุดก็ไปปั่นจักรยานมาเดือนนึง ครั้งแรกไปเมื่อปีที่แล้ว เพื่อนที่ไปด้วยชื่อ เก๋ ก็เป็นผู้หญิงเก่ง ทั้งทำงานเก่ง ทั้งมีพลังเหลือเฟือ ปีนี้พอปั่นจักรยานเสร็จ ชีก็จัดทริปปีนเขามองบลังก์ต่อเลย ที่เป็นที่สุดของยุโรป เราก็คิดว่าโอ้โห เราล้ำหน้าไปเรื่อยๆ กลับมาเราน่าจะสมัครเนวีซีลได้แล้วมั้ง เราปั่นจักรยานเดือนนึงทุกวัน วันละประมาณ 70-90 กิโล   

“การปั่นจักรยานในยุโรปมีความปลอดภัยและความสะดวกสบายสำหรับคนขี่สูงมาก ก็เลยสนุก เราขี่ไปพักตามเมืองต่างๆ เหมือนขี่จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ พักเมืองต่อไปเรื่อยๆ เราใช้จักรยานทัวริ่ง มีกระเป๋าข้างๆ รถ การขี่จักรยานก็เป็นการสอนชีวิตเราได้อีกอย่างหนึ่งนะ ปีแรกเราก็ยังหอบหิ้วของไปเยอะ เตรียมชุดไปกินข้าวต่างๆ นานา แต่เก๋เคยไปขี่มาก่อนแล้ว ก็บอกพี่สนอย่าเอาไปเยอะ มันจะหนัก ตอนนั้นเราก็ยังติดจะสวย ก็เอาชุดต่างๆ ใส่ไป ทีนี้อะไรที่เราเอาใส่ไป มันก็จะเป็นภาระของเราไปตลอดทาง มันเหมือนการสอนชีวิต ว่าอะไรที่เป็นเรื่องจำเป็นในชีวิต

“พอปีที่สอง ที่ผ่านมา เราก็รู้แล้วว่าอะไรจำเป็น กระเป๋าเราก็เล็กลง เรารู้แล้วว่าการที่เราไม่มีอะไรมันสบายตัวจริงๆ แต่ก่อนคิดว่าถ้าเราไม่มีอันนี้ไม่ได้เราอยู่ไม่ได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเรามีแค่กางเกงจักรยานสามตัว เสื้อจักรยานสามตัว ชุดแส็กสวยๆ สักชุด รองเท้าเราก็เลืออกรองเท้ามัลติฟังชั่น จบ แค่นี้ก็ถือว่าครบแล้ว แต่ยังต้องมีชุดแส็กไปสักชุดนะ (ยิ้ม)”

“การเดินทาง สอนอะไรเราได้หลายอย่าง…ถ้าเป็นการเทรคกิ้ง ก็สอนให้เรามีสติ เป็นการฝึกสติ เพราะถ้าว่อกแว่กก็กลิ้งตกเขาได้ ส่วนการที่ต้องไปนอนในป่ากลางคืน เงียบๆ กางเต็นท์นอนอยู่คนเดียว เราต้องไม่มโน ที่เขาบอกได้ยินเสียงอะไร อย่าคิดไปเอง จริงๆ มันไม่มีอะไร ทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดของเรา ว่าเราจะสู้กับมันได้มั้ย จะหลอนเราได้มั้ย

“เคยไปเทรกกิ้งที่โคตาคินาบาลู ยอดเขาสูงสุดในเซาท์อีสต์ เอเชีย ต้องตื่นตีสองแล้วเดินขึ้นไป มีช่วงหนึ่งที่เราต้องเผชิญกับความมืดๆ และเงียบๆ เพียงลำพัง มีช่วงหนึ่งที่ต้องไต่เชือกโหนขึ้นไปด้วยความชันเกือบจะ 90 องศา ตอนนั้นนึกในใจว่าแค่เราปล่อยมือเราก็หงายหลังตกลงไปตายได้เลยนะ เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแค่ต้องจับมันไว้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อของธรรมะนะ ว่าเราต้องมีสติ ต้องจับ ต้องไม่ร่วงลงไป มีแว่บหนึ่งที่รู้สึกที่รู้สึกว่าฉันมาทำอะไรที่นี่

“ตอนนั้นเราเดินอยู่คนเดียว สักพักมีใครสักคนเดินตามหลังมา แล้วก็มาตบบ่าบอกเราเป็นภาษาอังกฤษว่า its almost แล้วเขาก็เดินผ่านไป ตอนนั้นรู้สึก มันเป็นการให้กำลังใจกันที่ดีมากจากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน

เพราะในระหว่างเส้นทางที่ยากลำบาก บางครั้งเราก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า “กำลังใจจากใครสักคน”

เท่านั้นจริงๆ       

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']