ถ้าไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านดูหนังดีๆ ที่ดูแล้วอย่างฮึบก็มีความสุขกับตัวเองได้นะ หนังดีผู้หญิงสตรองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงข้างในให้เรา เอ็มพาวเวอร์ให้เรามีกำลังใจให้ตัวเองนี่ต้องจัดเลย คลีโอรวบมาให้ 10 เรื่องนี้ดูแล้วอย่างฮึกเหิม
.
Wild (2014)
หนังดีผู้หญิงสตรอง ที่สร้างมาจากบันทึกของเชอรีล สเตรย์ดเรื่อง Wild: From Lost To Found on the Pacific Crest Trail สั่นสะเทือนมากตั้งแต่เริ่มเรื่องยันจบ เป็นหนังที่ปลุกพลังข้างในให้เราอยากค้นหาตัวเอง และตอบคำถามบางอย่างของเราเอง รีส วิทเธอร์สปูนเล่นเป็นเชอรีล สเตรย์ด เธอเจอกับมรสุมชีวิตจนทำให้ตัดสินใจต้องเดินเท้าเข้าป่าเป็นระยะทาง 1,100 ไมล์ ของ The Pacific Crest Trail จากเม็กซิโกไปแคนาดา เชอรีลเจอกับการสูญเสียแม่ ที่เธอทำใจไม่ได้ และเธอใช้เฮโรอีน กับมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้าไม่เลือก สามีของเธอไม่รู้ว่าจะช่วยเธอยังไง เชอรีลเลยตัดสินใจเข้าป่าเยียวยาตัวเอง เราจะได้ดูการต่อสู้กับร่างกายตัวเองของเชอรีล รองเท้าที่ทำเท้าเธอเน่า ความโหดที่ต้องเดินป่าคนเดียว และภาพแฟลชชีวิตตัวเองระหว่างเธอเดิน หนังเรื่องนี้มีซิมโบลิคเต็มไปหมด เอาแค่เป้บนไหล่ของเธอก็ทำให้เรารู้สึกถึงความหนักอึ้งของชีวิต ที่เราเองยังรู้สึกเลยว่าการแบกภาระหนักๆ มันโหดขนาดไหน บางฉากที่เชอรีลนั่งมองพระอาทิตย์ ดวงตาที่เหมือนเธอค่อยๆ ล้างอะไรบางอย่างในใจออกไปได้ บนสนทนากับนักเดินทางด้วยกัน นิ่ง เรียบง่าย สวยงาม และฉากที่เราดูแล้วทะลักเลยก็คือฉากสุดท้ายนี่ล่ะ เธอเดินมาถึงจุดหมายแล้ว เธอยืนบนสะพาน แววตาของรีสคือใช่ที่สุด เข้าใจ ยอมรับ และอยู่กับปัจจุบัน และแววตาสุดท้ายที่เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้า คือซีนที่ทำให้เรามีความหวังขึ้นมาเลย
นี่คือหนังที่ต้องดู อย่าพลาดนะ Wild ดีงาม ทรานส์ฟอร์ม ทำให้เราเข้มแข็ง ฮึดสู้ และอยากโบยบิน แค่ประโยคว่า “I’m a free spirit who never had the balls to be free.” ที่เชอรีลพูดก็ทำเอาน้ำตาเอ่อแล้ว ดูจบแล้วเราจะอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองทันที!!
Joy (2015)
ผู้หญิงคนไหนต้องดูแลครอบครัว ต้องคอยคิดแต่จะหาเงิน หาอาชีพที่ทำให้ครอบครัวมั่นคง และต้องรอดให้ได้ ถ้าดูหนังเรื่องนี้มีร้องไห้ชัวร์ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์เล่นเป็น Joy หญิงสาวที่เกิดมาในครอบครัวขาดๆ เกินๆ แต่เธอไม่ยอมจะเป็นแบบนั้นเด็ดขาด เธอเลยฮึดสู้ในทุกทางเพื่อให้อยู่ดีกินดีขึ้นให้ได้ ชอบที่สุดคือไม่ว่าจอยจะเจออะไร เธอก็ยังคงสตรองและเดินหน้าต่อไป จอยไม่ล้มเลิกที่จะสร้างธุรกิจของเธอ ไม่ว่าจะต้องพังขนาดไหน จอยก็สู้ต่อสุดขีด ความสู้ต่อนี่ล่ะมันกระเทือนอินเนอร์ข้างในเรามาก เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆ คนเป็นแบบจอยอยู่ พังยังไงก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ เจนนิเฟอร์เล่นดีมากๆ เธอตีบทแตกจนเราคิดว่าเธอคือจอยจริงๆ และยังแทรกซึมความเป็นจอยให้เราสะท้อนกับชีวิตตัวเองด้วยอีก
เรื่องนี้ดูแล้วจะอย่างลุกขึ้นมาสู้เลย จอยให้พลัง ให้ความฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น แต่ฉันต้องไปต่อให้ได้ และจอยทำให้เราอยากออกจากเซฟโซนมาสู่โลกกว้าง ไม่อยากทรยศความรู้สึกตัวเอง ถ้าจะฟรีสปิริต ก็ต้องฟรรีสปิริตให้ได้จริงๆ ฉากสุดท้ายแน่มาก ฉากที่จอยทำสำเร็จแล้ว เธอนั่งในห้องทำงานบนเก้าอี้ของเจ้าของกิจการ แววตา ท่าทางของเธอฟาดที่สุด แต่ไม่ว่าเธอจะไปถึงแล้วยังไง ก็ยังมีความเมตตา ความอ่อนโยนในแววตานั้น จอยเข้าใจทุกคนที่ต้องสู้ชีวิตแบบเธอดี
ประโยคที่ทำให้เราสะอึกจาก Joy คือตอนที่จอยตอนเด็กพูดว่า
“When you’re hiding you’re safe, because people can’t see you. But funny thing about hiding, you’re even hidden from yourself.”
Hidden Figures (2016)
หนังเอ็มพาวเวอร์อีกเรื่องที่ดูแล้วชวนให้อยากลุกขึ้นมาทำๆๆๆๆ อะไรให้ตัวเราเปลี่ยนแปลงสักที เป็นเรื่องย้อนไปยุค 60s ในวงการอวกาศ ตัวเอกของเรื่องเป็นสาวผิวสีสามคนที่มีความอัจฉริยะ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากทีมเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงผิวสี แต่ไม่ว่ายังไงความเชื่อที่ว่าลงมือทำเถอะ ไม่ว่าจะโหดแค่ไหน ก็จะต้องได้รับผลแน่นอน ความเชื่อนี้จากหนังเรื่องนี้มาทำให้เรามีความหวังนะ หนังสนุก ดูเพลิน เอาใจช่วย และบิ๊วดีใช้ได้เลย ควรดูเป็นอย่างยิ่ง
Eat Pray Love (2010)
หนังที่ปังมากที่สุดอีกเรื่องในความรู้สึกของผู้หญิง เรียกว่าผู้หญิงทั้งโลกลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับอลิซาเบ็ธ กิลเบิร์ต เจ้าแม่แห่งการทรานสฟอร์ม หนังสร้างมาจากหนังสือที่อลิซาเบ็ธเขียนเล่าชีวิตจริงของเธอ เธอหย่ากับสามีที่อยู่กันมานาน หลังจากนั้นเธอไปตกหลุมรักกับหนุ่มอ่อนวัยกว่า เขามาทำให้เธออย่างสับสนเลย ทั้งสามีและเขาเลยทำให้เธอตัดสินใจขายทุกอย่าง และออกเดินทาง เธอเริ่มจากไปหาความสุขที่อิตาลีก่อน และไปล้างใจฝึกปฏิบัติที่อินเดีย เพื่อลืมทุกสิ่งที่ค้างๆ ให้ได้ จนไปเจอกับรักใหม่ที่บาหลี
อลิซาเบ็ธเขียนโดนทุกต่อมของผู้หญิง คนที่ต้องทนอยู่กับสามีแล้วออกมาไม่ได้ การทรานสฟอร์มของเธอคือชุบชีวิตมาก เลยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องประจำใจของใครที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองหนักๆ ดู อลิซาเบ็ธเคยบอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตน่ะ ต้องเปลี่ยนแบบย้ายประเทศเท่านั้น และต้องลากยาวให้นานหน่อย ถึงจะล้างออกได้หมด จูเลีย โรเบิร์ตเป็นอลิซาเบ็ธได้สวยงามที่สุด ดูเพลิน หนังสนุก นางเอกมีเสน่ห์ ดูแล้วจะรักเธอแน่นอน แล้วก็ได้ความหวังหนักๆ กลับเข้ามาที่ใจเราเลย
Iris (2014)
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ Iris Apfel หนึ่งในไอคอนแฟชั่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้หญิง เรื่องนี้เป็นสารคดีชีวิตของเธอ ที่ถ่ายทำตอนไอริสอายุได้ 93 ปี และสามีของเธออายุ 99 ปี ไอริสเป็นผู้หญิงที่รักแฟชั่น และมิกซ์แอนด์แมทช์สไตล์ตัวเองแบบไม่สนเทรนด์ใดๆ เอาจริงๆ เธอดังมากตอนวัยแปดสิบอัพนี่ล่ะ ดังเพราะแพชชั่น ความออริจินัล ความเปรี้ยวจริงในสไตล์ของเธอ เรื่องนี้ดูแล้วสนุกเลย ได้เห็นแฟชั่นสวยๆ ของไอริสแล้วก็ต้องทึ่ง ทำให้เราอยากลุกขึ้นมาแต่งตัว อยากให้สไตล์บอกความเป็นเรา และอยากมีแพชชั่นแรงๆ แบบไอริส เธอทำงานมาตลอดชีวิต แม้กระทั่งในวัยเก้าสิบเธอก็ยังคงทำ
ไอริสทำให้เรารู้ว่า การได้ทำสิ่งที่เป็นตัวเองและรัก จะทำให้เราอยู่กับสิ่งนั้นได้นาน และมีความสุขกับมัน รักในแอตติจูดของไอริสทุกสิ่ง เหมือนอย่างที่เธอบอกว่า “When you don’t dress like everyone else then you don’t have to think like everyone else.”
Julie & Julia (2009)
หนังที่สร้างมาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องของสาวชื่อจูลี่ เธออยากท้าทายตัวเองด้วยการทำอาหารสูตร จูเลีย ไชล์ด เจ้าแม่คุ้กบุ๊คที่ดังที่สุดในโลกให้ได้ภายในเวลา 365 วัน หนังเรื่องนี้สนุก เพลินที่สุด และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเรา แบบที่อยากลุกขึ้นมาทำอาหารตามแทบไม่ทัน ความพีคของเรื่องนี้มาตั้งแต่จูเลีย ไชล์ด เธอต้องเรียนทำอาหารในเลอ กอร์ดอง เบลอกับผู้ชายทั้งนั้น และเธอยังต้องผลักดันตัวเองให้เขียนสูตรอาหารให้สำเร็จ สูตรของจูเลียคือเฟรนช์ของจริง ยาก ขั้นตอนเยอะ เลยท้าทายให้ผู้หญิงที่ชีวิตสุดจะเรียบๆ แบบจูลี่ อยากหาอะไรสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองดู
ใครชอบทำอาหาร หรือมีเป้าอยากทำอาหารยากๆ ดูเรื่องนี้จะต้องเข้ากูเกิลหาสูตรของจูเลีย ไชล์ดมาลองเลยนะ ยากจริง แต่ทำแล้วอร่อยมากๆ ด้วย
Frida (2002)
หนังอีกเรื่องของอาร์ติสท์สาวดังระดับโลก ฟรีดา คาห์โล ที่ซาลมา ฮาเย็คเล่น เป็น หนังดีผู้หญิงสตรอง ที่ฟาดมากในอารมณ์ของผู้หญิงคนหนึ่ง ฟรีดาผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอเจอกับอุบัติเหตุอย่างแรกเมื่ออายุ 18 ทำให้แผนการณ์ในชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนหมด ฟรีดาต้องเข้าเฝือกทั้งตัว และใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียง แต่เธอก็ยังคงบอกแม่ของเธอว่า “ฉันยังไม่ตาย ฉันยังมีอะไรที่คุ้มค่าต่อการมีชีวิตอยู่” แอตติจูดแบบนี้ล่ะที่พาเธอไปต่อ จนเธอขอให้แม่ทำกระดานวาดรูปให้ และเธอเริ่มวาดรูปของตัวเองบนเตียงนั้น
หนังเรื่องนี้สดในอารมณ์มาก เรียกว่าดูแล้วไฮเลยดีกว่า กับการสาดอารมณ์ของฟรีดา สีสันบนภาพเธอ ความรักแรงของเธอ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรฟรีดาก็ยังคงวาดภาพอยู่ เธอคือผู้หญิงเจ็ดปวดที่ยืนหยัดเสมอ เธอซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง จริงใจ และเลือกเสียงจากหัวใจตัวเอง ฟรีดาทำให้เรารู้สึกว่ามันต้องอย่างนี้สิ!! ชีวิตต้องเอาให้สุดนี่ล่ะ แล้วเธอก็ประสบความสำเร็จค้างกลายเป็นตำนานไม่เคยเสื่อมเลยจริงๆ
Frozen II (2019)
ไม่อยากเชื่อว่าหนังเอลซ่าภาคสองเรื่องนี้บิ๊วอินเนอร์ผู้ใหญ่ได้ดีเหมือนกันนะ พล็อตหลักของเรื่องที่เอลซ่าต้องการตามหาเสียงในหัวเธอนี่โดนมาก มีประโยคอินสไปร์ที่ทำเอาเราน้ำตาเอ่อ เพราะพอได้ยินประโยคนั้น มันจุกเลย “Fear can’t be trusted.” ทำให้เราอยากสลัดความกลัวในใจออกไปซะให้ได้ หรือประโยคที่ว่า “Show yourself. Step into your power.” นี่ก็เด็ก กับฉากควบม้าเพื่อไปตามหาเสียงที่เอลซ่าไดยิน เธอไม่สนใจว่าคือที่ไหน ยังไง รู้แต่ว่าต้องไปตามหา ฉากนี้ล่ะมีพลังมาก น้ำตาไหลโครมเลย ถ้าต้องการรื้อความฝันตอนเราเป็นเด็ก และอยากได้กำลังใจให้ต่อสู้กับความกลัว ต้องดูเรื่องนี้ให้ได้เลยนะ
The Intern (2015)
เรื่องนี้เป็นรอมคอมดูสนุกๆ ได้ไม่คิดอะไรมากก็จริง แต่อินเนอร์คาแร็คเตอร์แอน แฮทธาเวย์ในเรื่อง ปลุกไฟอยากให้เราลุกขึ้นมาสร้างธุรกิจของตัวเองเหมือนกันนะ เธอสร้างธุรกิจแฟชั่นออนไลน์ด้วยตัวเองจนขายดี เธอทำงานหนักแต่ลูกน้องก็ดูเคารพและรักเธอ ในเรื่องมีโรเบิร์ต เดอ นิโรชายวัยพ่อเข้ามาสมัครงาน แล้วเขาเอาความเป็นคนทำงานยุคเขามาเบลนด์กับนางเอก ก็เลยมีแง่มุมเรื่องชีวิตเข้าไปด้วย
ดูแล้วจะรู้สึกว่า Worklife-Balance สำคัญเลย งานหนักเกินไปแต่เรื่องครอบครัวก็ต้องไม่เสีย และการเป็นคนเปิดกว้าง รับฟังคนอื่น แม้กระทั่งการต้องหาซีอีโอมาแทนตัวเอง นางเอกก็ยังยอมทำ มันคือการพร้อมละอะไรบางอย่างเพื่อครอบครัว ให้เราคิดอะไรได้เหมือนกันนะ
Soul Surfer (2011)
อีกเรื่อง หนังดีผู้หญิงสตรอง ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ เบธานี แฮมิลตัน เธอเป็นนักเซิร์ฟสาวที่หลงรักมหาสมุทรและการเซิร์ฟ และเธอโดยฉลามแอทแท็ค แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ใดๆ พยายามกลับมาเล่นเซิร์ฟด้วยแขนข้างเดียวให้ได้ เรื่องนี้อินสไปร์มาก และทำให้เราหัวใจพองโตในความพยายามต่อสู้กับร่างกายของตัวเองของเธอ ประโยคโดนๆ ที่เบธานีย์พูดอย่าง “ฉันมีโอกาสที่จะโอบอุ้มผู้คนมากขึ้น เมื่อฉันมีแขนเพียงข้างเดียว มากกว่าตอนที่ฉันมีแขนสองข้างด้วยซ้ำ”
เธอทำให้คนอื่นๆ มีความหวัง และเรื่องราวของเธอจุดพลังให้คนที่สูญเสียร่างกายแบบเธอ อยากลุกขึ้นมาสู้ เธอบอกว่า “ฉันคิดว่าฉันสามารถช่วยคนอื่นให้มีความหวังในพระเจ้าได้ และนั่นมันก็คุ้มที่ฉันเสียแขนไปแล้วล่ะ”