ปลุกผิวเนียนใส เปล่งประกายจนออร่าจับ ด้วย  Aqua+ Series Bright-Up Daily Moisturizer

Aqua+ Series Bright-Up Daily Moisturizer คว้ารางวัล Best Everyday Brightening Moisturizer จาก CLEO Beauty Hall of Fame 2024 ด้วยคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น บางเบา และช่วยผิวกระจ่างใสใน 7 วัน เนื้อครีมยังปราศจากแอลกอฮอล์และพาราเบน เหมาะสำหรับผิวมันและแพ้ง่าย

เติมแพชชั่นให้เป็นสาวทำงานเรียบหรูดูดี เอาชนะทุกสิ่งตั้งแต่ออกจากบ้าน!

คลีโอขอเติมพลังใจให้กับสาวทำงานทุกคนที่ต้องออกไปลุยงานด้วยแอตติจูดดีๆ ตั้งแต่ตื่นนอน รีบแค่ไหน ก็จะไม่มองข้ามความสำคัญว่าบุคลิกที่ดีคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ไม่ใช่แค่วันสำคัญ แต่ทุกๆ วันของคุณต้องดูดีทุกครั้งที่ส่องกระจก มอบความมั่นใจแรกให้ตัวเองและออกไปบอกคนทั้งโลกว่าฉันพร้อมที่จะมาโชว์ความเก่งให้ทุกคนได้เห็น มาครีเอทลุคเป็นสาวทำงานเรียบหรู แค่หาไอเท็มที่ใช่ของตัวเองให้เจอไปด้วยกัน

3 บิวตี้ไอเท็มสำหรับสาวทำงานที่ ใช้ง่าย ชุ่มชื้น และเฮลธ์ตี้ โกลว์!

เป็นผู้หญิงทำงานที่ต้องสู้กับโลกที่หมุนเร็ว ความฝันคืออยากมีบิวตี้ ไอเท็มที่ช่วยเรากู้ผิว คุณสมบัติที่เหมาะกับเราที่สุดคือต้องใช้ง่าย ใช้แล้วผิวชุ่มชื้นและให้ผิวเฮลธ์ตี้ โกลว์ๆ ดูสุขภาพดี

3 สุดยอดไอเท็ม จากแบรนด์ที่เราเชื่อถือมากที่สุดว่าเขา “รักผิวหน้าเราจริง!”

นาทีนี้ขอยกให้ Riviera Suisse (รีเวียร่า สวิซ) เป็นแบรนด์จากสวิสเซอร์แลนด์ที่ตั้งใจคิดค้นทุกนวัตกรรมและสารสกัดดีๆ เพื่อมาช่วยดูแลผิวหน้าของเรา นั่นก็คือความรักที่มีต่อผิวของเราอย่างจริงใจและยาวนานนั่นเอง




Celebrities

เจษ เจษฎ์พิพัฒ ความสุขของเขาคือเมื่อเขาเห็นครอบครัวมีความสุขดีแล้ว

เจษ เเจษฎ์พิพัฒ

ใครๆ ก็บอกว่าเขาหน้าเหมือนอีดงอุค เจษ เจษฎ์พิพัฒ กับพลังงานอันอบอุ่นของเขา

ตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มที่เราได้ซูมสัมภาษณ์กับเจษ นักแสดงหนุ่มวัย 29 ปีที่มองยังไงก็คล้ายอีดงอุค เจษยิ่งคุยยิ่งมีเสน่ห์ อารมณ์ รอยยิ้ม แววตาของเขา ถ้าอยากมีเพื่อนผู้ชายพลังงานแบบไหน ขอแบบเจษนี่ล่ะ คืออบอุ่น ง่ายๆ โพสิทีฟ แล้วเขาก็ดูมีความรู้ที่แนะนำผู้หญิงอย่างเราได้ด้วย

เจษเป็นนักแสดงมาหลายเรื่อง เรื่องเสน่หา บัลลังก์เมฆ พิษสวาท และอีกมากมาย ทั้งละคร หนัง ซีรีย์ เรียกว่าเขาเล่นได้หมดทุกบท เรื่องความรักเจษก็ชัดเจน เขาจริงจังกับคนรัก วิว วรรณรทที่เปิดเผยให้โลกรู้ว่านี่ล่ะผู้หญิงที่เขารัก และไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มีเรื่องอะไรในชีวิตเขา พอเราได้คุยกับเขา เจษก็คือผู้ชายหนุ่มที่เขาบอกว่า “ผมมีไฟเสมอนะ” และเขาฝันว่า “สักวันหนึ่งอยากมีครอบครัวครับ” เขาเป็นกันเองจนลบภาพพระเอกออกไปเลย เราเลยคุยกับเขาชิลล์ๆ ทั่วๆ ไป เจษเล่าว่า

“ผมชอบอะไรผู้ชายๆ นะ”

เขาคือลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้องผู้ชาย 3 คน เรียนโรงเรียนชายล้วน มีแก๊งค์เพื่อนผู้ชายแมนๆ มาตลอด “ผมชอบอะไรที่ผู้ช้ายผู้ชาย ผมเรียนชายล้วนมาก ไม่ถึงขั้นเกเร แต่ก็ไม่อยู่ในลู่ในทางขนาดนั้น ผมไม่ใช่แนวหนุ่มเมโทร ผู้ชายเล่มเกมแมนๆ นี่ล่ะ”

“ผมเป็นคนติดบ้านมาก”

บ่อยๆ เลยระหว่างสัมภาษณ์เจษจะพูดถึงคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายของเขา เขาชอบที่จะใช้เวลาที่บ้าน และทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามปกติ “ผมติดบ้านมาก ไม่ค่อยอยากไปไหน ทุกวันนี้ก็อยู่ในรั้วเดียวกับพ่อแม่ กินข้าวเย็นกับเขาทุกวัน” ถามว่าเจษออกกำลังบ้างมั้ย เขาหัวเราะบอกว่า “ไม่ค่อยออกเลยครับ”

เจษ กับพี่ชายทั้ง 2 คน

“ผมมีโปรเจ็คท์อยากทำเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา”

เจษเรียนด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาด้วยคะแนน 3.91 เรียกว่าสูงมากๆ เขาเรียนเก่ง หัวดี เขาเลยอยากเอาสิ่งที่เรียนนี่ล่ะมาสร้างเป็นงาน “ผมเพิ่งมีโปรเจ็คท์กับทางช่องวันว่าจะทำคอนเทนท์เกี่ยวกับสิ่งที่ผมเรียนมา ก็คือการเงิน ทำออกมาเป็นรายการที่เข้าใจได้ง่ายๆ เราก็ไม่ได้เอ็กซ์เปิร์ตขนาดคนทำงานสายนี้นะ เราแค่เข้าใจแล้วอธิบายได้เฉยๆ จะทำให้คนวัยผม เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ เข้าไม่ถึงเรื่องการลงทุนเรื่องการเงิน จะให้เขาเข้าใจได้ง่ายเลย”

“ผมรู้ว่าควรให้เงินทำงานแทนเรา”

เราถามเขาว่าเจษไม่คิดจะเป็นนักลงทุนด้านการเงินหรือ? เขาบอกว่าเขาเข้าใจแก่นของเรื่องนี้นะ แต่ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาให้ดี เขาก็ยังไม่อยากลุย “ผมเป็นคนต้องเข้าไปศึกษาให้รู้จริงก่อน ถึงจะลุยไปเลย ช่วงที่ผมเคยคิดว่าน่าลงทุน ตอนนั้นก็ทำงานแสดงอยู่ ก็เลยยังไม่ได้ทำ ถ้าเราทำตามเรื่องของการลงทุนจริงๆ มันเป็นเรื่องของระยะเวลา ถ้าเราซื้ออะไรที่มั่นคง ก็ต้องให้เวลามันออกดอกออกผล อย่างถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัท ก็ต้องมีหลักว่าเราจะดูผลประกอบการเขายังไง ดูงบการเงิน อัตราส่วนทางการเงินยังไง มันมีสูตรอยู่ว่าธุรกิจนี้ดี หรือไม่ดี ว่าพัฒนามาแค่ไหน โตขึ้นต่อเนื่องมั้ย?”

“ผมอยากเล่นดนตรีมากที่สุด”

แล้วพอเราถามเจษต่อว่า เขามีแพชชั่นอยากทำอะไรที่สุด เขาบอกว่า “ผมอยากเล่นดนตรีนะ เด็กๆ จะเล่นดนตรีมากกว่าเรียน อยากมีวงดนตรีจริงจัง ชอบร็อค ป๊อบร็อค ผมเป็นคนยุคบอดี้ สแลม, วง Zeal ผมถนัดดนตรีมากกว่าเลย”

“ผมได้เรียนรู้จากการแสดงเยอะมาก”

เขาบอกว่าการเป็นนักแสดงสอนชีวิตให้เขาด้วย “ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เป็นโอกาสที่ดีมากที่เราได้เป็นนักแสดง มุมมองตรงนี้สอนให้เราโตขึ้น ผมก็ได้เลยนะ เราเล่นละครเรื่องหนึ่ง เราก็เติบโตไปตามตัวละคร ในเรื่องมีบทเรียน และมีเหตุผลของการกระทำสิ่งต่างๆ ทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น คนที่ต่างจากเรา ไม่ใช่แค่ตัวละครที่เราเล่นในเรื่อง เราเห็นว่าแต่ละคนทำอะไรเพราะอะไร ผมหลังๆ เลยไม่ค่อยจะโกรธคน”

“ผมว่าเป็นหน้าที่ของเรานะ ที่ต้องอารมณ์ดีกับทุกคน”

เจษยึดถือเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องประจำใจของเขาเลยในความเป็นนักแสดงของเขา “การทำงานที่อยู่กับคนตลอดเวลา มีคำพูดของน้าเน็กที่บอกว่า “ดาราพอออกจากบ้านก็คือทำงานแล้ว” ผมเลยไม่รู้สึกว่าเราหยุดทำงานสักที ออกจากบ้านไปเจอคน ยิ้มแย้มให้คน มันเป็นหน้าที่ของเรา เราจะมาอ้างว่าเราอารมณ์ไม่ดี ไม่ให้เขาถ่ายรูปไม่ได้” ใครอยู่ใกล้เขาจะรู้ว่าเจษไม่ค่อยโกรธอะไรใคร เขายึดหลักบางอย่างในใจไว้แล้ว “ผมจะไม่ค่อยโกรธคนนะ ถ้าเขาไม่ทำไม่ดีกับเรา ผมก็จะเฉยๆ ก็พยายามจะทำให้ดีในทุกวัน มันไม่ได้ดีแค่กับคนอื่น แต่มันดีกับตัวเราด้วย เราได้เป็นคนที่ดีด้วย  เราเป็นเสียงหนึ่งที่ใหญ่กว่าเสียงของหลายๆ เสียง มันมีผลกระทบมากกว่านั้น เราทำงานให้คนทุกประเภทดู เราไม่ได้เลือกทำงานให้คนบางกลุ่มดู เราก็ต้องระวังให้มาก เวลาจะพูดหรือทำอะไร”

“ผมอยากมีครอบครัวนะ”

เขาไม่ได้วางแผนเรื่องความรัก แต่ในใจเขาก็คิดว่าอยากมีครอบครัวสักวัน “ผมมีเป้าหมายนะว่าวันหนึ่ง ผมอยากจะมีครอบครัว อยากมีลูก เมื่อถึงเวลาก็น่าจะเป็นเรื่องของความรู้สึกว่ามันพร้อมแล้ว” เจษเตรียมตัวเสมอ เพราะเขามีธุรกิจของที่บ้านที่ต้องดูแลด้วย ถ้าวันหนึ่งเขาต้องรับหน้าที่นี้เต็มๆ เขาก็ต้องพร้อมที่จะจัดการ นิสัยของเขาคือไม่ชอบจับปลาสองมือ ถ้าเขาต้องโฟกัสอะไร ก็ไม่อยากให้มีสิ่งใดมากกระทบ

“ผมมีจุดอ่อนเรื่องครอบครัว”

และเมื่อมาถึงเรื่องเซนซิทีฟในใจ ที่มนุษย์ทุกคนต้องมี สำหรับเจษจุดอ่อนของเขาคือเรื่องครอบครัวนั่นเอง “ถ้าต้องลงลึกในความรู้สึก ผมจะเซนซิทีฟเรื่องนี้มาก ครอบครัวผมอยู่กันแบบดิบๆ ไม่ได้บอกรักทุกวัน ถ้าต้องแสดงความรักกับครอบครัวเมื่อไหร่ก็คงจะทำตัวไม่ถูก” และในทุกสิ่งที่เจษทำ ที่สุดของที่สุดที่เขาอยากได้ก็คือ “ผมอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ให้พ่อกับแม่เห็น เขาคงดีใจไปกับเรา เพราะเวลาผมสำเร็จไปแต่ละขั้น ผมจะหันมามองครอบครัวเสมอ เป้าหมายชีวิตของผม คือผมแค่ทำตัวเองให้ดีขึ้น เรามีคามสุขเวลาที่คนที่เรารักมีความสุข ผมไม่ได้ได้อะไรแล้วภูมิใจกับตัวเอง ผมมีความสุขคือเวลาครอบครัวภูมิใจในตัวผม แล้วเขามีความสุข เราอยากเห็นภาพแบบนั้นมาตลอดเรา อยากเห็นพ่อกับแม่ดีใจบ่อยๆ” เจษบอกอีกว่า “แค่พ่อแม่กินข้าวไป นั่งดูละครที่เราเล่นไป แล้วมาถามเรา เราก็ดีใจแล้ว”

ติดตามเจษได้ผ่านออนตาแกรมของเขาเลยนะ instagram @jesjpp


คลีโอรอติดตามผลงานของเจษ เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ อีกเรื่อยๆ เลยนะ

credit photo: instagram @jesjpp

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']