เมื่อคืนนี้ถ้าใครได้ฟังคำให้การของนักจิตวิทยา ดร.แชนนอน เคอร์รี่ ถึงการประเมินสภาพจิตของแอมเบอร์ เฮิร์ดแล้วเราจะได้ยินความผิดปกติที่ด็อกเตอร์แชนนอนพูดถึงเรียกว่า Borderline Personality Disorder ชื่อไทยคือความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง ใช้ตัวย่อว่า BPD เป็นการเบิกเนตรให้คนทั่วไปรู้จักอาการนี้เลย หลังจากหลงเรียกคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายว่าไบโพลาร์อยู่นาน ซึ่งเราผู้มีประสบการณ์ตรง เพราะว่าใกล้ชิดกับคนที่เป็นไบโพลาร์เห็นความทรมานของโรคนี้กับแม่ของตัวเอง พยายามเถียงมาตลอดว่าเหวี่ยงแบบนี้ไม่ใช่ไบโพลาร์ เพราะเราเจอทั้งคนเป็นไบโพลาร์และเป็นบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งนี้มากับตัว
“แม่ของฉันเป็นไบโพลาร์”
เริ่มที่ไบโพลาร์กันก่อน แม่ของเรารู้ว่าตัวเองเป็นไบโพลาร์ตอนอายุประมาณ 50 กว่าๆ แต่อาการของแม่มีให้เห็นมานานจนเราในฐานะลูกก็คิดว่าเป็นนิสัยของเขา แม่จะเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว ขยันขันแข็ง ไม่หลับไม่นอน พูดเร็วแบบเร็วกว่าสมองคิด เป็นผู้หญิงที่ดูร่าเริงแอคทีฟคนหนึ่งเลย แต่ช่วงที่รู้ตัวแม่เริ่มมีอาการที่อธิบายไม่ได้ ไปหาหมอตามคลินิคก็ไม่มีใครวิเคราะห์ได้ อาการหลักๆ แม่บอกว่ามันมีความหวิวๆ ในท้อง เหมือนเวลาไปยืนที่สูงๆ อะไรแบบนั้น แล้วเป็นมากขึ้นจนทรมานมากๆ ซึ่งอาการนี้ไม่ได้เกิดกับคนเป็นไบโพลาร์ทุกคนนะ เพราะมีพี่ที่รู้จักที่เป็นไบโพลาร์อีกคนไม่มีอาการทางร่างกายนี้ แม่ลองเปลี่ยนหมอไปเจอกับจิตแพทย์ที่เปิดคลินิคในเมือง แล้วคุณหมอก็ฟันธงว่าแม่เป็นไบโพลาร์
คุณหมอให้ยามาปรับสารเคมีในสมองให้บาลานซ์ ตอนกินยาแรกๆ แม่เบลอมาก กินยาแรกๆ ต้องอดทน ลูกๆ ก็คอยให้กำลังใจ แม่ผอมลงอย่างน่าตกใจ ปรับยาไปมาอยู่เป็นเดือนๆ จนค่อนข้างเข้าที่ แถมยังต้องค่อยๆ ดูแลอาการอื่นๆ เช่น นอนน้อย คุณหมอก็จะให้ยานอนหลับมา จะมีทั้งช่วง Mania ที่คนรอบข้างจะสังเกตได้ว่าแม่มีพลังล้นแปลกๆ แม่แต่งตัวจัด ใส่แหวนสิบนิ้ว พูดเร็ว ตื่นตี 2 มาถูบ้าน ตอนนั้นต้องให้แม่ไปพบคุณหมอเพื่อปรับยาอีกครั้งจนเริ่มโอเคขึ้น
ส่วนเวลา Depressed แม่จะบ่นๆ ว่าทำไมช่วงนี้แม่ไม่ค่อยมีความสุข สิ่งที่เคยทำแล้วแฮปปี้ การพาแม่ไปเที่ยว ใจข้างในรู้สึกเฉยชา มีคิดๆ ว่าตายไปก็ดี ด้วยความที่แม่เป็นคนต่างจังหวัดไม่ได้เรียนมาสูง เรื่องอาการทางจิตเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ลูกอย่างเราที่ค่อนข้างศึกษาอาการของไบโพลาร์ก็จะบอกว่าเหมือนแม่อยู่ในช่วงซึมเศร้า ไปหาคุณหมอเล่าอาการหน่อยดีกว่า ได้ยามากินเช่นเดิม โดยในแต่ละช่วงไม่ได้กินยาสองสัปดาห์หายเลยนะ อาการบางขั้วอารมณ์จะอยู่นานหลายเดือน เราจะเห็นว่าเขาค่อยๆ ดีขึ้น ที่สำคัญคือห้ามอดยาเอง เพราะแม่จะโดนเป่าหูบ่อยๆ จากญาติว่ากินมากไม่ดี ต้องสู้ๆ ด้วยใจเราเองสิ พึ่งยาตลอดชีวิตไม่ดีนะ แม่หยุดยาไม่ไปหาหมอ เท่านั้นแหละอาการกลับมาเป็นหนักกว่าเดิม แม่เข็ดเลยตั้งแต่นั้นก็กินยามาโดยตลอด
“เพื่อนของฉันเป็น Borderline Personality Disorder”
มีแม่เป็นไบโพลาร์แล้ว ฉันยังมีเพื่อนที่มีบุคลิกภาพแบบ BPD อีกด้วย อาการนี้ ดร.แชนนอน อธิบายไว้ในการขึ้นให้การว่าอาจจะเกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่โตมา คนที่มีบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งจะมีอารมณ์สวิงมาก กลัวการโดนทอดทิ้ง ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นคนเรียนเก่งทำงานเก่งเลยแหละ แต่เวลาโกรธจะโกรธจัด เหมือนโดนผีเข้า อะไรก็เอาไม่อยู่ พร้อมไฝว้ เคยมีเคสที่เธอไปตบรุ่นน้องในคณะ แต่จะใช้เวลาสักไม่กี่ชั่วโมงหรือข้ามวัน เพื่อนก็กลับมาเป็นคนน่ารักตลกเหมือนเดิม เพราะนี่คือความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่คนเป็น BPD จะโดนคนอื่นมองว่าคาดเดาอารมณ์ไม่ได้เลย ภาพลักษณ์ของเพื่อน คนส่วนใหญ่ที่เจอก็จะส่ายหน้าของไม่ยุ่งด้วย และต่างจากไบโพลาร์ที่จะเหวี่ยงๆ อยู่ไม่กี่ชั่วโมงหรือหลักวัน แต่ไบโพลาร์แต่ละขั้วอารมณ์จะกินเวลานานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน
และถ้าแฟนของเพื่อนคนนี้เหมือนจะตีตัวออกห่าง เพื่อนจะเริ่มนอยด์ กังวล คิดไม่ตก จะคิดหาแผนการณ์อะไรที่ยื่นไปแล้วให้แฟนไม่ไปจากนาง (เรียกว่า Fear of abandonment) สาเหตุที่เพื่อนมีความผิดปกตินี้ ก็เพราะที่บ้านของเพื่อนค่อนข้างแตกแยก เลี้ยงดูด้วยความรุนแรง อาจจะไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ก็ใช้คำพูด abusive เพื่อนมาตั้งแต่เด็กจนโต ทางการแพทย์แนะนำว่าคนเป็น BPD ควรได้รับการบำบัด ไม่ถึงขั้นต้องกินยา แต่เอาจริงๆ ใครจะเดินไปบอกคนเหล่านี้ว่าเธอผิดปกตินะ ไปพบนักจิตหน่อยมั้ย อาจจะโดนตบกลับมาก็ได้ เลยยากที่คนมีอาการนี้จะเข้ารับการรักษาและยอมรับตัวเอง
จากความเข้าใจในอาการของความผิดปกติ Borderline Personality Disorder ที่ ดร.แชนนอน เล่าว่าแอมเยอร์ยังมีความผิดปกติแบบ Histrionic Personality Disorder ซึ่งเป็นบุคลิกภาพของคนที่ต้องการเป็นจุดสนใจ และคนที่เป็นอาการนี้จะค่อนข้างมีทักษะการเข้าสังคมเลยใช้ชักจูงคนอื่นให้มาสนใจได้ไม่ยาก อย่างที่ทุกคนเห็นจากเรื่อง Gone Girl นั่นเลย ดังนั้นหลายครั้งที่เปิดคลิปเสียงที่แอมเบอร์เถียงจอห์นนี่ (และเธอก็เป็นคนอัดเองด้วยนะ) สื่อในอเมริกาถึงกับบอกว่านี่มันแสดงละครอยู่หรือเปล่า มันช่างไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ ความผิดปกติสองอย่างนี้เลยกลายเป็นระเบิดโกโก้ครันช์ที่ทุกคนเห็นผ่านการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกนั่นแหละท่านผู้ชม
Evaluate Yourself!
สุดท้ายเลยให้เราดูว่าสุขภาพจิตของเรายังดีอยู่ใช่มั้ย ไม่ใช่มองแต่วิเคราะห์คนอื่น หันกลับมาถามตัวเองบ่อยๆ ถ้าเริ่มมีสัญญาณไม่ดี อารมณ์หลุดง่ายจนสามารถไปทำร้ายคนอื่นหรือมีความคิดอยากทำร้ายหรือฆ่าตัวตาย รีบไปพบผู้เชี่ยวชาญทั้งจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา สร้างความหวังที่จะใช้ชีวิตที่มีความสุขและรักษาความสัมพันธ์ดีๆ กับคนอื่นเอาไว้ได้ต่อไป