ตื่นขึ้นมาทุกวันพร้อมอายุที่เพิ่มขึ้น นี่ต้องไปทำงานอีกแล้วเหรอ งอแงเหมือนตอนไม่อยากไปเรียนช่วงอนุบาล หาเหตุผลว่าทำไมเราเบื่องานที่ทำขนาดนี้ เพราะว่ามันไม่เห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ได้แต่ประคองทรงเอาไว้ ก็ทำไงได้ชีวิตของเรามีค่านี่…ค่าบ้าน…ค่ารถ…ค่าเลี้ยงดูครอบครัว และยิ่งเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ต่อไปนี้แล้ว ยิ่งคิดว่านี่เรากำลังทำงานในองค์กรแบบไหนกันแน่
“คนพรีเซนต์เก่งและดูดีคือคนที่บริษัทอวยยศ แต่ทุกคนรู้กันว่าเขาสร้างภาพและไม่ทำงาน”
เป็นธรรมดาที่บริษัทอยากดูดีในสายตาคนอื่น อยากดูเป็นองค์กรที่ทันสมัย มีแนวคิดวิสัยทัศน์ล้ำหน้าเลยต้องหาตัวแทนที่ดูหน้าตาดี มีโปรไฟล์ พูดเก่งๆ ซึ่งเราจะยินดีและชื่นชมกับเขาแน่นอน ถ้าเขาเป็นคนมีความสามารถและผลักดันบริษัทให้เจริญก้าวหน้า แหม ใครจะไม่อยากเรียนรู้จากคนเก่งๆ บ้าง แต่ไม่ค่ะ ไม่เลย คนกลุ่มนี้ที่ผู้หลักผู้ใหญ่เยินยอกัน พนักงานทุกคนแทบจะมองบนทะลุชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ไปจนจะถึงดาวอังคารแล้ว เพราะคนสร้างภาพจัดๆ พออยู่กับระดับปฏิบัติการก็เอาแต่ออกไอเดียลอยๆ สั่งงานแบบเจ้านาย bossy แล้วให้คนอื่นมารับกรรมทำงานแทนทั้งโปรเจ็คท์ แต่คนทำหลังขดหลังแข็งตัวจริงไม่ได้รับการพูดชื่อถึงแต่อย่างใด ถ้างานดีก็กระโดดเข้าเคลมผลงาน ถ้างานแย่ก็โทษแผนกอื่นๆ ว่าห่วย คอมเมนท์งานคนอื่นเก่งมากกกกก
เคยเจอขนาดที่ว่าไลน์ข้ามแผนกมาสั่งให้ทำพรีเซนต์เทชั่นอลังการแล้วส่งไฟล์ให้เขาเพื่อที่เขาจะไปเปิดต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงเองคนเดียว โดยไม่บอกสักนิดว่าสิ่งที่นำเสนอเป็นไอเดียใคร เราจำได้ว่าเคยมีหญิงสาว tiktoker ชาวต่างชาติคนหนึ่งถึงกับแก้แค้นเจ้านายที่ชอบขโมยผลงานด้วยการฝังลายน้ำชื่อเธอเข้าไปในทุกสไลด์ซะเลย ล็อคไฟล์ให้แก้ไม่ได้ด้วย
“ซีอีโอและผู้บริหารเป็นคนรวยที่ไม่เคยเข้าใจเนื้องานและปัญหาของลูกน้องจริงๆ”
เพราะเขาใช้เงินแก้ปัญหากับทุกสิ่ง และคิดว่ามีเงินก็ซื้อคนเก่งมาทำงาน พอคนเก่งมาทำงาน เขาก็ต้องตกใจกับการทำงานที่ไม่มีไดเร็กชั่นขนาดนี้ การสั่งงานที่เจ้าของกรี๊ดแต่จะเอายอดขาย ตัวเงินหรือผลลัพธ์ที่ไม่ดูสังคมเลยว่าผู้บริโภคต้องการแบบไหน หรือสิ่งที่ตัวเองมีต้องพัฒนาอะไรบ้างให้ทันโลก และคนที่มีเงินเปย์เหล่านี้ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของสุดยอดนักสร้างภาพที่เรียกเงินเดือนสูงส่ง แต่ภาพที่เห็นคือเขาเดินลอยไปลอยมาทั้งวันและการประจบคือสกิลล์ที่เก่งที่สุดจนเราอยากให้เขาเปิดคอร์สวิชาเอาหน้า 101 เลยล่ะ
ต่างจากเจ้าของและซีอีโอที่สร้างตัวมาเอง เขาหยิบจับทุกอย่างมาจากศูนย์ ลองผิดลองถูก สร้างจากสเกลเล็กน้อยให้ค่อยๆ ใหญ่โตขึ้น เขาได้เริ่มลองทำมาทุกๆ หน้าที่ด้วยตัวเอง เขาจะรู้ว่าคนทำงานครีเอทีฟไม่ใช่มาจี้ๆ สั่งๆ บรีฟส่งๆ แล้วจะได้งานที่ดี หรือเขาจะเห็นใจคนทุกๆ แผนก และรู้ทันทีว่าใครทำงานหนัก หรือใครแถ ก็ดูจากการตอบคำถามได้เลย เพราะเขาเคยทำมาแล้วกับมือไง
“บริษัทที่ปล่อยให้มีดราม่า 70% ทำงานจริง 30%”
อยากหนีให้ไกลจากพวกขาใหญ่ในออฟฟิศ จิกด่ากันกลางกรุ๊ปบ้าง พลาดหน่อยทุบประจานเชียว เข้าใจมั้ยว่างานในบางตำแหน่ง เขาต้องไปเผชิญอยู่หน้าด่านแล้วโดนจับผิดง่ายๆ และงานที่เร่งทำให้ทันเวลา พยายามมากแค่ไหนก็ต้องมีผิดพลาดบ้าง แต่ละวันก็ต้องมีดราม่าคนนั้นด่ากับคนนี้ คนนี้มาฟ้องอีกคน อีกคนไปเล่าให้คนนู้นฟัง ไปเข้าหูอีกทีม ตลบหลังกลับมาแก้แค้นในเรื่องงาน โอ๊ย! อยากออกบวชเลย ต้องการความสงบ ทำงานของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ คำว่าทีมเวิร์คนี่ไม่ต้องฝัน ไม่มีวันได้เจอ เป็นคัลเจอร์ทำงานที่ท็อกซิกสุดๆ
นี่เลยทำให้มีผลสำรวจของ Gallup ที่บอกว่าคนไม่มีความสุขในการทำงานถึง 85% แล้วความทุกข์นี้ทำให้คนหมดใจกับที่ทำงาน ไม่ต้องมาพูดสร้างกำลังใจใดๆ เพราะมันบิ๊วด์ไม่ขึ้นแล้ว ทำให้เกิดอาการเบิร์นเอาท์ และเสียความสามารถในการสร้างงานที่ดี หลายคนหน้าตาอมทุกข์ ตาเศร้า ขาดแรงบันดาลใจก็เหมือนขาดจิตวิญญาณ พอเราไปถามว่าทำไมยังทนทุกคนเป็นห่วงครอบครัว ห่วงภาระต่างๆ เอาเป็นว่าไม่ต้องถึงกับของขึ้นยื่นใบลาออกปุบปับแล้วออกไปเตะฝุ่น นอนมองเพดาน เงินไม่มีเครียดกว่าเดิม
เริ่มจากการเชื่อว่าเรามีความสามารถ เราเคยสร้างงานดีๆ ได้นี่ เราเคยมีงานที่ภูมิใจก็สร้างใหม่อีกครั้งกับองค์กรที่เห็นคุณค่า ขอร้องนะห้ามพูดคำว่างานดีหายาก จุ๊ๆ ไม่เอาเดี๋ยวจักรวาลได้ยิน คิดใหม่เลยว่า “งานดีๆ กำลังรอเราอยู่ ความสามารถของเราจะต้องไปให้ไกลกว่านี้” สมัครงานใหม่ไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการสร้างพอร์ตให้สวยงาม ไม่มีเวลานั่งหายใจทิ้ง เพราะมันเสียเวลาชีวิตมากเกินไป ขอให้มีภาพว่าอีกไม่นานเราจะเป็นสตาร์ที่เฉิดฉาย เอาชนะทุกปัญหาและมีความสุขได้แน่นอน
อ่านเรื่องงานต่อได้ที่ เพื่อนร่วมงานหายไปหมด