คุณอาจเคยได้ยินใครสักคนพูดว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมีคนที่ทำงานหนักจนเสียชีวิตมาแล้วในประเทศญี่ปุ่น นอกเหนือจากภาพจำที่ว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นสวยงามน่าเที่ยวแล้ว ในอีกมุมหนึ่งของคนวัยทำงานรวมไปถึงเหล่าพนักงานบริษัทเขาก็จะมีความเคร่งเครียด เร่งรีบ วัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นจริงจัง ซึ่งการทำงานหนักจนเกินคำว่า “พอดี” จึงนำไปสู่ปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ในที่สุด
คาโรชิ (過労死) คือ การทำงานหนักเกินไปจนนำไปสู่ความตาย อ่อนเพลียจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ สาเหตุหลักที่ส่งผลถึงแก่ชีวิตโดยส่วนใหญ่คือหัวใจวายจากอาการอ่อนเพลีย หรือในบางรายนั้นมีอาการซึมเศร้า เครียดและฆ่าตัวตายในที่สุด ซึ่งปรากฎการณ์นี้ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆของทวีปเชียอีกด้วย

ย้อนไป ปี 2558 อีกหนึ่งกระแสที่ทำให้สังคมญี่ปุ่นตื่นตัวกับ Karoshi Syndrome นั่นก็คือเรื่องราวของ มัตสึริ ทากาฮาชิ พนักงานหญิงบริษัทโฆษณาเดนท์สึ ( Dentsu ) ซึ่งเธอจบชีวิตตนเองหลังจากทำงานหนักต่อเนื่องมากกว่า 105 ชั่วโมงต่อเดือน
มัตสึริ เกิดเมื่อปี 1991 ที่จังหวัด Hiroshima ด้วยความที่เธอเป็นคนที่เรียนเก่งทำให้เธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียว และต่อมาได้ฝึกงานที่บริษัทเดนท์สึ บริษัทสื่อโฆษณาชื่อดัง ซึ่งเธอเป็นคนที่ทำงานดี เรียนรู้งานไวจนได้เป็นเด็กฝึกงานดีเด่น และเมื่อฝึกงานเสร็จก็ได้เป็นพนักงานประจำให้กับบริษัทนี้ ซึ่งตำแหน่งที่เธอเข้าไปทำคือ Internet Advertising ซึ่งพนักงานมีน้อย แต่งานกลับมีมากเกิน ทำให้คนในแผนกนี้ต้องทำงานเกินกำลัง รวมถึงมัตสึริด้วยความที่ตอนฝึกงานเธอทำงานได้ดีจึงเป็นที่คาดหวังของหัวหน้า ทำให้เธอยิ่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่เธอไม่ได้ระบายเรื่องนี้ให้ใครความเครียดจึงสะสมไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นเธอทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ประมาณ 12- 17 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว นอกจากงานที่หนักแล้ว สภาพแวดล้อมการทำงานของเธอก็ไม่ดีด้วย มัตสึริเคยโดนหัวหน้าด่าหลายครั้งต่อหน้าเพื่อนร่วมงานซึ่งในบางครั้งเธอไม่ได้โดนว่าเรื่องงานแต่กลับเป็นเรื่องตัวเธอ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของมัตสึริย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

มัตสึริแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง รวมไปถึงการพบปะกับเพื่อนฝูงด้วย พอเวลาผ่านไปเธอก็หมดแรงทั้งกายและใจ จนสุดท้ายมัตสึริได้ส่งข้อความไปหาแม่ของเธอ โดยระบายความในใจว่าทนทำงานต่อไปไม่ไหวแล้ว และหลังจากนั้นเธอก็ได้กระโดดลงมาจากหอพักเพื่อจบชีวิตของตัวเอง
จากเรื่องราวของมัตสึริ ทำให้บริษัทถูกตรวจสอบอย่างหนักและพบว่าบริษัทนี้เคยมี Karoshi ตั้งแต่ปี 1991 เคยมีพนักงานของบริษัทแห่งนี้จบชีวิตของตนเองเช่นกัน จนสุดท้ายบริษัทต้องทำการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ทั้งเรื่องการบริหาร การทำงาน และ 1 ปีหลังจากที่มัตสึริเสียชีวิต ทางการของญี่ปุ่นได้ยอมรับว่า Karoshi Syndrome มีผลอย่างมากต่อสังคมญี่ปุ่น
อ่านบทความอื่นๆของ CLEO ที่: