ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย แต่ตอนนี้จากบทสนทนาที่เราคุยกับเพื่อนๆ หลายกรุ๊ป ทุกคนกำลังเจอเรื่องอะไรหนักๆ อยู่ ไม่ว่าจะเรื่องโสด คนมีแฟนก็อึนๆ กับความรัก เรื่องงานที่อีรุงตุงนัง เรื่องครอบครัวที่บ้านมีปัญหา แล้วไหนจะต้องออกไปเจอโลกเป็นผู้หญิงสวยมั่น เอาจริงๆ วันที่ดาวน์ๆ ฮอร์โมนตกเนี่ย ความมั่นใจเรียกยังไงก็ไม่ขึ้นเลยมานั่งดูว่าอาการนี้มันมาจากอะไร แล้วเติมความมั่นในใจยังไงถึงจะเต็ม
“ความมั่นหายไปเวลาที่เราเทียบตัวเองกับคนอื่น”
ทุกครั้งเลยที่เห็นเพื่อนได้เงินเดือนเยอะกว่า อีกคนได้ไปทริปเมืองนอกเก๋ๆ นั่งบิสสิเนส ดูโซเชียลอีกคนถอยแบรนด์เนม แต่ทำไมเงินในบัญชีเราถึงเหลือหลักร้อย เราก็ทำงานหนักนะ หรือเราไม่เก่งมากพอ ทุกคำถามผุดขึ้นมาโดยที่เราคิดว่าตัวเองไม่ก้าวไปไหน แต่ไม่เคยหันกลับไปมองว่าเรามาไกลได้ขนาดนี้ได้ยังไง
เด็กที่บ้านอาจไม่ได้รวย แต่เราเรียนจบมีงานทำ ทุกอย่างก็ทำของเรามาเอง เรารับผิดชอบครอบครัว เรามีเงินเก็บบ้าง อาจไม่ได้หรูหราแต่เรามั่นคง หลายครั้งที่รู้สึกท้อว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นแล้วอยู่ดีๆ มีพี่ที่สนิทมาให้ข้อคิดว่า “เธอดูดีๆ สิ เธอซื้อคอนโดอยู่ไม่ต้องขอพ่อแม่สักบาท แล้วทุกวันเธอทำกับข้าวกินเอง มีความสุขง่ายๆ กับตัวเอง เธอต้องภูมิใจตัวเองนะ” คำพูดแค่นี้ฟังแล้วมีแรงบันดาลใจ รู้สึกมั่นใจเลยว่าจริงด้วย แค่เราลงมือทำ เราได้ทุกสิ่งที่อยากได้นี่ และถ้าจะเหนื่อยบ้าง ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่ ความมั่นใจมาจากการโฟกัสที่ตัวเองต่างหาก
“คนชอบมาดับความมั่นเพราะใช้สแตนดาร์ดของตัวเองมาตัดสิน”
เรื่องง่ายๆ ที่เห็นบ่อยมากคือการคอมเมนท์ในโลกออนไลน์บอกว่าอ้วนไปหรือผอมจนน่ากลัว โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่หมอที่ไปปรึกษา ไม่ใช่คนในครอบครัวของเขาที่สนิทกันมากๆ เป็นญาติยังไม่ควรพูดเลย และถ้าคนนั้นไม่ได้ร้องขอความเห็น ไม่ต้องพูดดดด รู้เหรอว่าที่เขาอ้วนขนาดนี้บางทีอาจเกิดจากปมความเศร้าที่อยู่ในใจ เขาเลยกลายเป็นคนเสพติดอาหาร เขาอาจเป็นไทรอยด์ที่ทำให้ตัวบวม หรือน้ำหนักลดเพราะไม่สบาย ท่องไว้ว่าถ้าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเยียวยาเขาได้ ก็อยู่เฉยๆ ไป ถ้าจะถามก็ถามว่าสบายดีหรือเปล่า ถ้าเขาสบายดีก็คือจบนะ
หรือเรื่องความมั่นใจในการทำงาน คนบางคนในที่ประชุมก็ชอบพูดว่าทำไมคนนั้นคนนี้ไม่พูดไม่แสดงความคิดเห็น เขาไม่เซล์ฟ เพราะย้อนภาพอดีตไปคนนั้นอาจเคยพูดแล้วโดนเบรค โดนหาว่าไม่ฉลาด สภาพการทำงานทำให้ไม่สามารถแสดงความมั่นได้เลย ที่ทำงานไม่เคยซัพพอร์ตมีแต่กดคนอื่นให้กลัวกันเอง
“คนที่ขาดความมั่นใจจะไม่มีวันไปข้างหน้า…จริงเหรอ?”
ประโยคเสียดแทงนี้ก็อาจจะจริงนะ เพราะเราเห็นคนที่ทนทำงานที่ไม่ชอบมาเป็นสิบๆ ปี ทำไปบ่นไป ถามว่าทำไมไม่ลาออก เพราะไม่มั่นใจไงว่าตัวเองจะหางานที่ดีกว่านี้ได้ สิ่งเดียวที่ยึดมั่นไว้คือฉันเก่งไม่เท่าคนอื่นหรอก ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว ซึ่งการตีกรอบตัวเองแบบนี้ไม่ใช่แค่ไปด่าเขาว่าติดกับคอมฟอร์ทโซน รักสบาย เป็นคนเฉื่อยแฉะ ต้องดูให้ลึกว่าความมั่นใจแบบนี้มาจากตั้งแต่เขาโตมาในครอบครัวแบบไหน เขาถูกเลี้ยงเป็นไข่ในหิน บ้านของเขาไม่ตั้งเป้าใหญ่ๆ เอาไว้ให้ลูกหลานสำเร็จ สภาพแวดล้อมตอนที่เรียนเป็นยังไง พวกนี้มีผลต่อแรงขับในชีวิตไปหมด
เปลี่ยนจากกดดันมาเป็นสร้างพลังให้คนอื่นเถอะ
ง่ายๆ คือคำว่า empowering ทำให้ตัวเองรู้สึกมีพลังเหมือนชาร์จไฟเข้าไป พอเต็มแล้วพลังของผู้หญิงมีมากมหาศาลเลยนะ ผู้หญิงเปลี่ยนโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อไหร่ที่รู้สึกขาด พลังตรงนั้นจะคอยเติมให้เราไปต่อได้ เราจะมูฟออนจากความรักแย่ งานรั้งๆ เลิกคิดว่าเราไม่เก่งแต่กลายเป็นมีอะไรที่เราทำได้ดีกว่านี้อีก ลองลุกไปเรียนเพิ่ม, ฉันสวยกว่านี้ได้ ,กล้าที่จะเปิดใจทำอะไรใหม่ๆ วางความกลัว ความท้อแท้เอาไว้ข้างหลังก่อน หรือถ้าไม่มั่นใจรูปร่างของตัวเอง ก็เดินหน้าออกกำลังกาย ปรับการกินใหม่ เรารู้ว่าตัวเราลิมิตมั่นใจอยู่ที่ตรงไหน
ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่า “สาวๆ มั่นใจเถอะ” แต่เราสร้างสังคมให้ผู้หญิงซัพพอร์ตกันเองเยอะๆ ไม่ต้องเป็นเกรียนคีย์บอร์ดวิจารณ์ใคร ไม่ต้องอวยจนโอเว่อร์ หาแนวทางดีๆ แนะนำกัน แล้วเราจะบิ้วด์ความมั่นใจได้ด้วยหัวใจตัวเอง