ฉันไม่โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคน “มองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น”

ฉันไม่ได้โชคดีแบบนั้น ฉันไม่ได้โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคนมองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น มองเห็นความเจ็บปวดของฉัน และอยากฉุดฉันขึ้นไป ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่ฉันจะบอกตัวเองได้ดีไปกว่า “ยอมรับความจริงเถอะ” ทุกครั้งเวลาที่ฉันเห็นใครๆ เขารักกัน ความหวังในใจ ความเพ้อทุกครั้งที่กดแอปสีดำแดงเพื่อเลือกซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ โจทย์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องเป็นเรื่องที่ฉันสามารถสมมุติตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องได้ แล้วจินตนาการต่อว่า บางทีฉันอาจจะเจอผู้ชายในชีวิตจริง ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่อง หนังสือฮาวทูบอกว่า ให้คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุด แล้วตัดออกให้เหลือสัก 10 ข้อว่านั่นคือคุณสมบัติผู้ชายที่อยากได้ ฉันลองทำและกุมลิสท์นั้นไว้แน่นในกระเป๋าสตางค์ เอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ด้วย บางทีที่เขาบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จะมอบพลังงานของความรักดูดใครให้เข้ามาในชีวิต ฉันจะเอาลิสท์นั้น ออกไปหาแสงจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนึกถึงเขา แน่นอนว่าฉันมีความเชื่อ ยังคงเชื่อ และก็จะเชื่อต่อไป เรื่องราวในโทรศัพท์กับเพื่อนสาว เราจะวนเวียนกันที่ซีรีย์ที่เพิ่งดู กรี๊ดพระเอก อยากบินไปเกาหลี แล้วเราก็จะกลับมาที่เรื่องของเรากัน ทำไมเพื่อนคนนั้นได้แฟนดีจัง แฟนเขาพาไปเมืองนอกบ่อยมากเลย เขาไปทริปกันอีกแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่พยายามหาเรื่องเน่าๆ ในเรื่องรักของคนอื่น “แต่พวกเขาอาจมีอะไรไม่แฮปปี้ก็ได้นะ พวกเราไม่มีทางรู้หรอก” มันคงเป็นคำปลอบใจที่เราบ่นให้กันฟัง แต่ฉันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิตอยู่ดี “ที่เธอเหนื่อยเพราะไม่มีคนรักหรือเปล่า?” ประโยคจากเรื่อง My Liberation Notes หัวหน้าของพี่สาวนางเอกถามขึ้นมา หลังจากที่เธอมาทำงานแล้วบ่นว่าเหนื่อยๆๆๆๆ ทำไมชีวิตฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้ […]

คุณหมอสา-Guardian Diamond พี่สาวที่เปิดประตูลับ ช่วยเคลียร์พลังงานลบให้คุณพบความสำเร็จ

ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]

5 วัดปังในฮ่องกง ขออะไรเทพให้รัวๆ

“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

“อกหัก” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดกับฉัน ฉันเลิกโกหกตัวเองสักที

เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]




Self Love

4 สเต็ปเยียวยาหัวใจ และให้ชีวิตเราไปต่อได้สวยๆ ปังแน่นอน! จากกูรูดังระดับโลก

open your heart

ผู้ชายคนนี้มีมนต์สะกดเลยนะ โรบิน ชาร์มา เขามีวิธีเปิดหัวใจให้เรา เพื่อให้เราเยียวยาหัวใจตัวเอง และเพื่อให้ชีวิตเปล่งประกายต่อในทุกด้าน!

ฟังกูรูระดับโลกมาหลายคน บอกเลยว่า โรบิน ชาร์มาคือตัวท็อป เขาคือคนที่ฟังเพียงครั้งเดียว เราจะมีแรงมาจากไหนไม่รู้ให้ฮึบอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองตามที่เขาแนะนำ และนี่คือ 4 ขั้นตอนที่เขาบอกว่า “จะเปิดหัวใจคุณ” และให้คุณเข้าไปเยียวยาทุกความพัง ความเจ็บปวด ความอ่อนแอของเราได้ พอเยียวยาแล้วทีนี้พื้นที่หัวใจจะกว้างๆ เลย จนเปิดช่องให้ทั้งปัญญา นิสัยใหม่ อัพเลเว่ลตัวเราให้ไปต่อแบบสวยๆ เลย

เราลองทำตามที่โรบินแนะนำมาสักพักใหญ่ เวิร์คมาก! อยู่ดีๆ เราก็รู้สึกชีวิตเปลี่ยน นิสัยที่ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็น เราก็เริ่มทำได้ และมองโลกเปลี่ยนเลย ไม่โทษตัวเอง ไม่คิดว่าเราไม่ดีอีกต่อไป ที่สำคัญคือเรากลายเป็นคนรีเช็คตัวเองตลอด อะไรมากระทบนิดเดียว รู้เลยว่ามาจากไหน ก็เลยทำให้เรารู้วิธีซ่อมแซมตัวเองเป๊ะขึ้นเรื่อยๆได้หมุนชีวิตไปด้านที่ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วสายตาเรากว้างไกลขึ้นเลย เลยเข้าใจที่เขาบอกว่า “แค่เปิดใจ แล้วอะไรๆ จะเปิดทางให้เราเอง” มันจริงมาก ก็เลยอยากเล่าและใครที่ฝืดๆ กับตัวเองอยู่ ลองดู 4 สเต็ปนี้จากเขาได้เลยนะ จากหนังสือ The Everyday Manifesto

4 สเต็ปนี้ช่วยอะไรเราบ้าง?

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือช่วยให้เรารู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เราที่เปลี่ยนไปเพราะตัวเราเอง หรือเวลาเราไม่พอใจใครที่มาสะกิดอารมณ์เรา แล้วก็ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกตัวเองจนทัน คือเราไม่หนีความรู้สึกตัวเองอีกต่อไปแม้มันจะไม่ดีก็ตาม แล้วก็ช่วยให้เรารื้อเจอว่าเรายังมีปมอะไรในใจอยู่ บางทีเราหน้ายิ้มๆ แต่ข้างในทำไมเศร้าลึกๆ ช่วยให้เราเลิกสงสัยชีวิตตัวเอง เช่น ทำไมฉันขยันแต่ไม่ได้โปรโมทสักที เพราะเราจะไปเจอว่ามันมีนิสัยอะไรบางอย่างที่บล็อคเราเอาไว้ สุดท้ายคือช่วยให้เรารักและเมตตาตัวเองเป็น เราอภัยให้ตัวเองเป็นจนอภัยให้คนอื่นได้ชิลๆ เลยเหมือนกัน

ก็เลยทำให้ชีวิตโดยรวมของเราเปลี่ยนไป เพราะเราเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด จนสิ่งที่เคยรู้สึกเยอะๆ ก็เบาขึ้น หรือสิ่งที่ไม่เคยใส่ใจก็ใส่ใจขึ้น กับสิ่งที่ไม่ควรจะใส่ใจได้แล้ว เราก็เริ่มปล่อยวางขึ้น รวมๆ คือเหมือนจัดวางชีวิตให้บาลานซ์ แก้ปมตัวเอง และเคลียร์ใจเพื่อรับสิ่งดีๆ ที่เราอาจไม่เคยคิดว่าจะมี

โรบิน ชาร์มาเขาเรียก 4 สเต็ปนี้ว่า AFRA ที่เป็นเครื่องมือสำหรับกระบวนการเปิดใจที่เขาเรียกว่า Heartset Purification

พร้อมแล้วเริ่มกันเลยนะกับ Awareness, Feel, Release และ Ascend

Step1: Awareness: รู้ตัว

วิธีง่ายๆ เพื่อสร้างความรู้ตัวของเราก็คือ “บอกให้ได้ว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงในร่างกายของเรา” เพราะความเจ็บปวดมักจะถูกเก็บเอาไว้ เราอาจเคยถูกสอนให้ไม่ร้องไห้ อย่ารู้สึกมาตั้งแต่เด็ก เราเลยไม่รู้สึกปลอดภัย ถ้ามีอารมณ์อะไรผุดก็เคยชินที่จะเก็บมันและปฏิเสธมัน สิ่งนี้จะไปบล็อคพลังงานอันแท้จริงที่จะทำให้เราปล่อยแสงและสร้างเป็นศักยภาพของเราได้

ตอนแรกๆ อาจจะยากสักหน่อยเพราะการรีเช็คอารมณ์ความรู้สึกอาจเป็นสิ่งใหม่ของเรา แต่บอกเลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้เริ่ม เราก็จะเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ อย่าเพิ่งรีบ โรบิน ชาร์มาแนะนำว่า “ให้ลองหาว่าร่างกายเรารู้สึกยังไง เวลามีอะไรมากระทบ” เช่น เมื่อเราโกรธใคร หัวใจเต้นโอเคมั้ย ลมหายใจติดขัดไหม หรือ เมื่อเราเครียด ปวดท้อง ปวดหัว ปวดไหล่ไหม แล้วพอเราหาได้ดีขึ้น เราก็จะเริ่มตามทันความรู้สึกตัวเองขึ้นด้วย

ให้คิดซะว่าเราคือนักสืบ กำลังค้นหาจักรวาลในหัวใจ ในร่างกายของเราอยู่ “ทุ่มความตั้งใจที่จะฝึก ไปที่ความรู้สึกของเราในร่างกายของเรา” ทำให้ดีที่สุดและพยายาม “อย่าใช้หัวสมองใดๆ” ให้ไปตามลมหายใจ ความรู้สึกของใจเพียงอย่างเดียว แล้วลองให้สีกับความรู้สึกนั้น ให้น้ำหนัก ให้พื้นผิวของความรู้สึกนั้น และรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา

Step 2: Feel: รู้สึก

พอเราเริ่มรู้แล้วว่าความรู้สึกเราอยู่ตรงไหน เราจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแย่ ต่อให้ความรู้สึกเราแย่ก็ไม่แย่ เพราะเรารู้จักมันแล้ว เราจะรู้ว่าชีวิตที่ต้องมีความสุขตลอดเวลา มันไม่จริง! และที่สังคมบอกเรามาตลอดว่าเราต้องมีความสุขน่ะ เป็นไปไม่ได้!

เพราะการที่เราจะเป็นคนเต็มๆ ที่จะมีชีวิตชีวาได้ เราต้องมีประสบการณ์ของ “อารมณ์ที่หลากหลาย” เราจะเริ่มคุ้นชินกับอารมณ์ตัวเอง ต่อให้เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี แต่เราจะเริ่มมีสติที่ตามมันทันแล้ว อารมณ์ความรู้สึกจะไม่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในเราอีกต่อไป เพราะถ้าเราไร้อารมณ์ความรู้สึก เราก็จะเหมือนไปทำลายพลังความคิดสร้างสรรค์ ทำลายศักยภาพของตัวเราไป และทำลายความสุขของเราในที่สุด

สเต็ปนี้จึงเป็นขั้นตอนที่ให้เราอยู่กับความรู้สึก อย่าไปหนีมัน อย่าใช้เครื่องมือสื่อสารใดๆ เพื่อมาดึงความรู้สึกเราไปด้วย เพราะถ้าเราจะเยียวยาบาดแผลในใจ เราจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรที่กดทับแผลนั้นอยู่ การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกจะทำให้เราตื่นขึ้นมา เหมือนเราเริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว ทุ่งหญ้าแห่งความเจ็บปวดจะถูกเปิดเผยตัว เพราะทุ่งหญ้านี่ล่ะมักแอบซ่อนอยู่ข้างในเราไม่ให้เรารู้ เข้าไปรู้สึกเลยนะ อยู่กับมัน เราจะยอมรับความรู้สึกตัวเองขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าไปบอกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี

โรบิน ชาร์มาบอกว่า “วิธีที่ทำให้เราออกจากความเจ็บปวดได้เร็วที่สุด ก็คือเข้าไปปะทะความเจ็บปวดนั้นตรงๆ”

Step 3: Release: ปลดปล่อย

เราจะปลดปล่อยบาดแผลหรือปมในหัวใจเราได้ อย่างแรกเลยคือเราต้อง “ตั้งใจ” ที่จะปลดปล่อยมัน เมื่อเรารู้สึกถึงบาดแผลนั้นเต็มๆ แล้ว เราก็จะปรารถนาที่จะปล่อยมันออกไป เพียงเท่านี้ เพียงบอกตัวเองว่า “ปล่อยออกไปเถอะ” ความเจ็บปวดก็จะค่อยๆ หลุดออกไปแล้ว  จะได้ไม่เป็นความเจ็บปวดที่เราแช่แข็งไว้ในใจอีกต่อไป และมันจะหลุดออกไปจากใจ จากร่างกายของเราในที่สุด ขั้นตอนที่เราปลดปล่อยบางทีใช้เวลาไม่กี่นาที หรือบางทีก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง บางครั้งถ้ามันหนาแน่นมากๆ ก็อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้นในการปลดปล่อยมัน ไว้ใจขั้นตอนนี้เถอะ เพราะเมื่อความเจ็บปวดในอดีตถูกเคลียร์ออกไป เราจะโล่งมาก เรียกว่าเป็นการเยียวยาตัวเองครั้งสำคัญเลยล่ะ การฝึกปล่อยออกไปจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เชื่อมโยงกับตัวเองได้ดีขึ้น เราจะตื่นขึ้นมาและมีชีวิตชีวา เราจะเริ่มไว้ใจสัญชาติญาณตัวเอง และเผยความเป็นธรรมชาติของเราออกมา เราจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาลเลยล่ะ

ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บางครั้งเราเองล่ะที่เป็นคนถือความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ เพราะเราอาจรู้สึกว่าไม่แฟร์กับเรา หรือรู้สึกว่ามีใครมาทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องเข้าไปในความเจ็บปวดตรงๆ และปรารถนาเข้มข้นพอที่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม การปล่อยมันออกไปคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราจะได้ออกมาสักที และไปต่อแบบสวยๆ

Step 4: Ascend: ไปต่อแบบสวยๆ

โรบินบอกว่า “ทุกครั้งที่ไม่ว่าคุณจะเจออะไรมากระทบอารมณ์ ให้ทำ AFRA นี้เสมอ เมื่อนั้นก็เหมือนกับว่าคุณกำลังยกระดับตัวเอง เพื่อให้ไปต่อแบบสวยๆ” สิ่งที่จะเกิดกับเราก็คือ “ชีวิตจะเฮลธ์ตี้ขึ้น มีความสุขขึ้น ชีวิตอัพเลเว่ลขึ้นแน่นอน” เพราะเราได้หล่อยความท็อกซิกในชีวิตออกไปทุกครั้ง เราจะอยู่กับปัจจุบันแบบโล่งสบาย ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ค้างเต่ออยู่ ก็จะไม่มีอะไรไปติดๆ ดับๆ ในสิ่งที่เราทำ หัวใจเราจะเข้าใกล้พลังงานความรักและเมตตาตลอดเวลา เราจะรู้สึกเบาขึ้น สบายขึ้น เราจะมีความสุขแบบไม่จำกัด พลังงานความอิสระจะแล่นเข้ามาหาเรา

เราจะรู้สึกมั่นใจขึ้น มีพลังงานดีๆ รายล้อม โรบินแนะนำว่า “ฝึกฝนตัวเองกับวิธีนี้ทุกวัน” เมื่อไหร่ที่ชีวิตส่งบททดสอบมาก ก็ให้ฝึกต่อ เราจะเปล่งประกายไปหาความออริจินัล ความอุดมสมบูรณ์ของตัวเราเอง

และเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกถึงความหวัง ความสนุก การขอบคุณ ความกล้าหาญ แรงบันดาลใจ ความเห็นอกเห็นใจ เมตตา ให้เราจูนพลังงานแบบนี้ไปต่อกับพลังงานที่สูงขึ้น เราจะแตะจุดละเอียดอ่อนของเราสูงขึ้นๆ และเกิดเป็นรักและเมตตาต่อตัวเอง พรที่ฟ้าให้เรามาก็จะถูกเผยออก แล้วเราจะรู้ว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ให้แช่มชื่นขึ้นได้ยังไง เพราะเรากำลังฉายแสงของเราออกมาแล้ว

อย่ามองข้ามแมจิกของเรา และอย่าปิดตาตัวเองจากทุกความเป็นไปได้ของตัวเรา หัวใจ ศักยภาพ แรงใจอันไม่มีลิมิตของเรา ที่เรารู้ว่าเรามีตั้งแต่ตอนเรายังเด็กๆ จะได้เปิดออกมาให้หมดสักที

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ต่อได้ที่ 45 คำพูดกอดตัวเอง

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']