ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Self Love

4 สเต็ปเยียวยาหัวใจ และให้ชีวิตเราไปต่อได้สวยๆ ปังแน่นอน! จากกูรูดังระดับโลก

open your heart

ผู้ชายคนนี้มีมนต์สะกดเลยนะ โรบิน ชาร์มา เขามีวิธีเปิดหัวใจให้เรา เพื่อให้เราเยียวยาหัวใจตัวเอง และเพื่อให้ชีวิตเปล่งประกายต่อในทุกด้าน!

ฟังกูรูระดับโลกมาหลายคน บอกเลยว่า โรบิน ชาร์มาคือตัวท็อป เขาคือคนที่ฟังเพียงครั้งเดียว เราจะมีแรงมาจากไหนไม่รู้ให้ฮึบอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองตามที่เขาแนะนำ และนี่คือ 4 ขั้นตอนที่เขาบอกว่า “จะเปิดหัวใจคุณ” และให้คุณเข้าไปเยียวยาทุกความพัง ความเจ็บปวด ความอ่อนแอของเราได้ พอเยียวยาแล้วทีนี้พื้นที่หัวใจจะกว้างๆ เลย จนเปิดช่องให้ทั้งปัญญา นิสัยใหม่ อัพเลเว่ลตัวเราให้ไปต่อแบบสวยๆ เลย

เราลองทำตามที่โรบินแนะนำมาสักพักใหญ่ เวิร์คมาก! อยู่ดีๆ เราก็รู้สึกชีวิตเปลี่ยน นิสัยที่ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็น เราก็เริ่มทำได้ และมองโลกเปลี่ยนเลย ไม่โทษตัวเอง ไม่คิดว่าเราไม่ดีอีกต่อไป ที่สำคัญคือเรากลายเป็นคนรีเช็คตัวเองตลอด อะไรมากระทบนิดเดียว รู้เลยว่ามาจากไหน ก็เลยทำให้เรารู้วิธีซ่อมแซมตัวเองเป๊ะขึ้นเรื่อยๆได้หมุนชีวิตไปด้านที่ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วสายตาเรากว้างไกลขึ้นเลย เลยเข้าใจที่เขาบอกว่า “แค่เปิดใจ แล้วอะไรๆ จะเปิดทางให้เราเอง” มันจริงมาก ก็เลยอยากเล่าและใครที่ฝืดๆ กับตัวเองอยู่ ลองดู 4 สเต็ปนี้จากเขาได้เลยนะ จากหนังสือ The Everyday Manifesto

4 สเต็ปนี้ช่วยอะไรเราบ้าง?

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือช่วยให้เรารู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เราที่เปลี่ยนไปเพราะตัวเราเอง หรือเวลาเราไม่พอใจใครที่มาสะกิดอารมณ์เรา แล้วก็ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกตัวเองจนทัน คือเราไม่หนีความรู้สึกตัวเองอีกต่อไปแม้มันจะไม่ดีก็ตาม แล้วก็ช่วยให้เรารื้อเจอว่าเรายังมีปมอะไรในใจอยู่ บางทีเราหน้ายิ้มๆ แต่ข้างในทำไมเศร้าลึกๆ ช่วยให้เราเลิกสงสัยชีวิตตัวเอง เช่น ทำไมฉันขยันแต่ไม่ได้โปรโมทสักที เพราะเราจะไปเจอว่ามันมีนิสัยอะไรบางอย่างที่บล็อคเราเอาไว้ สุดท้ายคือช่วยให้เรารักและเมตตาตัวเองเป็น เราอภัยให้ตัวเองเป็นจนอภัยให้คนอื่นได้ชิลๆ เลยเหมือนกัน

ก็เลยทำให้ชีวิตโดยรวมของเราเปลี่ยนไป เพราะเราเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด จนสิ่งที่เคยรู้สึกเยอะๆ ก็เบาขึ้น หรือสิ่งที่ไม่เคยใส่ใจก็ใส่ใจขึ้น กับสิ่งที่ไม่ควรจะใส่ใจได้แล้ว เราก็เริ่มปล่อยวางขึ้น รวมๆ คือเหมือนจัดวางชีวิตให้บาลานซ์ แก้ปมตัวเอง และเคลียร์ใจเพื่อรับสิ่งดีๆ ที่เราอาจไม่เคยคิดว่าจะมี

โรบิน ชาร์มาเขาเรียก 4 สเต็ปนี้ว่า AFRA ที่เป็นเครื่องมือสำหรับกระบวนการเปิดใจที่เขาเรียกว่า Heartset Purification

พร้อมแล้วเริ่มกันเลยนะกับ Awareness, Feel, Release และ Ascend

Step1: Awareness: รู้ตัว

วิธีง่ายๆ เพื่อสร้างความรู้ตัวของเราก็คือ “บอกให้ได้ว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงในร่างกายของเรา” เพราะความเจ็บปวดมักจะถูกเก็บเอาไว้ เราอาจเคยถูกสอนให้ไม่ร้องไห้ อย่ารู้สึกมาตั้งแต่เด็ก เราเลยไม่รู้สึกปลอดภัย ถ้ามีอารมณ์อะไรผุดก็เคยชินที่จะเก็บมันและปฏิเสธมัน สิ่งนี้จะไปบล็อคพลังงานอันแท้จริงที่จะทำให้เราปล่อยแสงและสร้างเป็นศักยภาพของเราได้

ตอนแรกๆ อาจจะยากสักหน่อยเพราะการรีเช็คอารมณ์ความรู้สึกอาจเป็นสิ่งใหม่ของเรา แต่บอกเลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้เริ่ม เราก็จะเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ อย่าเพิ่งรีบ โรบิน ชาร์มาแนะนำว่า “ให้ลองหาว่าร่างกายเรารู้สึกยังไง เวลามีอะไรมากระทบ” เช่น เมื่อเราโกรธใคร หัวใจเต้นโอเคมั้ย ลมหายใจติดขัดไหม หรือ เมื่อเราเครียด ปวดท้อง ปวดหัว ปวดไหล่ไหม แล้วพอเราหาได้ดีขึ้น เราก็จะเริ่มตามทันความรู้สึกตัวเองขึ้นด้วย

ให้คิดซะว่าเราคือนักสืบ กำลังค้นหาจักรวาลในหัวใจ ในร่างกายของเราอยู่ “ทุ่มความตั้งใจที่จะฝึก ไปที่ความรู้สึกของเราในร่างกายของเรา” ทำให้ดีที่สุดและพยายาม “อย่าใช้หัวสมองใดๆ” ให้ไปตามลมหายใจ ความรู้สึกของใจเพียงอย่างเดียว แล้วลองให้สีกับความรู้สึกนั้น ให้น้ำหนัก ให้พื้นผิวของความรู้สึกนั้น และรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา

Step 2: Feel: รู้สึก

พอเราเริ่มรู้แล้วว่าความรู้สึกเราอยู่ตรงไหน เราจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแย่ ต่อให้ความรู้สึกเราแย่ก็ไม่แย่ เพราะเรารู้จักมันแล้ว เราจะรู้ว่าชีวิตที่ต้องมีความสุขตลอดเวลา มันไม่จริง! และที่สังคมบอกเรามาตลอดว่าเราต้องมีความสุขน่ะ เป็นไปไม่ได้!

เพราะการที่เราจะเป็นคนเต็มๆ ที่จะมีชีวิตชีวาได้ เราต้องมีประสบการณ์ของ “อารมณ์ที่หลากหลาย” เราจะเริ่มคุ้นชินกับอารมณ์ตัวเอง ต่อให้เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี แต่เราจะเริ่มมีสติที่ตามมันทันแล้ว อารมณ์ความรู้สึกจะไม่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในเราอีกต่อไป เพราะถ้าเราไร้อารมณ์ความรู้สึก เราก็จะเหมือนไปทำลายพลังความคิดสร้างสรรค์ ทำลายศักยภาพของตัวเราไป และทำลายความสุขของเราในที่สุด

สเต็ปนี้จึงเป็นขั้นตอนที่ให้เราอยู่กับความรู้สึก อย่าไปหนีมัน อย่าใช้เครื่องมือสื่อสารใดๆ เพื่อมาดึงความรู้สึกเราไปด้วย เพราะถ้าเราจะเยียวยาบาดแผลในใจ เราจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรที่กดทับแผลนั้นอยู่ การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกจะทำให้เราตื่นขึ้นมา เหมือนเราเริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว ทุ่งหญ้าแห่งความเจ็บปวดจะถูกเปิดเผยตัว เพราะทุ่งหญ้านี่ล่ะมักแอบซ่อนอยู่ข้างในเราไม่ให้เรารู้ เข้าไปรู้สึกเลยนะ อยู่กับมัน เราจะยอมรับความรู้สึกตัวเองขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าไปบอกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี

โรบิน ชาร์มาบอกว่า “วิธีที่ทำให้เราออกจากความเจ็บปวดได้เร็วที่สุด ก็คือเข้าไปปะทะความเจ็บปวดนั้นตรงๆ”

Step 3: Release: ปลดปล่อย

เราจะปลดปล่อยบาดแผลหรือปมในหัวใจเราได้ อย่างแรกเลยคือเราต้อง “ตั้งใจ” ที่จะปลดปล่อยมัน เมื่อเรารู้สึกถึงบาดแผลนั้นเต็มๆ แล้ว เราก็จะปรารถนาที่จะปล่อยมันออกไป เพียงเท่านี้ เพียงบอกตัวเองว่า “ปล่อยออกไปเถอะ” ความเจ็บปวดก็จะค่อยๆ หลุดออกไปแล้ว  จะได้ไม่เป็นความเจ็บปวดที่เราแช่แข็งไว้ในใจอีกต่อไป และมันจะหลุดออกไปจากใจ จากร่างกายของเราในที่สุด ขั้นตอนที่เราปลดปล่อยบางทีใช้เวลาไม่กี่นาที หรือบางทีก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง บางครั้งถ้ามันหนาแน่นมากๆ ก็อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้นในการปลดปล่อยมัน ไว้ใจขั้นตอนนี้เถอะ เพราะเมื่อความเจ็บปวดในอดีตถูกเคลียร์ออกไป เราจะโล่งมาก เรียกว่าเป็นการเยียวยาตัวเองครั้งสำคัญเลยล่ะ การฝึกปล่อยออกไปจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เชื่อมโยงกับตัวเองได้ดีขึ้น เราจะตื่นขึ้นมาและมีชีวิตชีวา เราจะเริ่มไว้ใจสัญชาติญาณตัวเอง และเผยความเป็นธรรมชาติของเราออกมา เราจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาลเลยล่ะ

ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บางครั้งเราเองล่ะที่เป็นคนถือความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ เพราะเราอาจรู้สึกว่าไม่แฟร์กับเรา หรือรู้สึกว่ามีใครมาทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องเข้าไปในความเจ็บปวดตรงๆ และปรารถนาเข้มข้นพอที่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม การปล่อยมันออกไปคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราจะได้ออกมาสักที และไปต่อแบบสวยๆ

Step 4: Ascend: ไปต่อแบบสวยๆ

โรบินบอกว่า “ทุกครั้งที่ไม่ว่าคุณจะเจออะไรมากระทบอารมณ์ ให้ทำ AFRA นี้เสมอ เมื่อนั้นก็เหมือนกับว่าคุณกำลังยกระดับตัวเอง เพื่อให้ไปต่อแบบสวยๆ” สิ่งที่จะเกิดกับเราก็คือ “ชีวิตจะเฮลธ์ตี้ขึ้น มีความสุขขึ้น ชีวิตอัพเลเว่ลขึ้นแน่นอน” เพราะเราได้หล่อยความท็อกซิกในชีวิตออกไปทุกครั้ง เราจะอยู่กับปัจจุบันแบบโล่งสบาย ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ค้างเต่ออยู่ ก็จะไม่มีอะไรไปติดๆ ดับๆ ในสิ่งที่เราทำ หัวใจเราจะเข้าใกล้พลังงานความรักและเมตตาตลอดเวลา เราจะรู้สึกเบาขึ้น สบายขึ้น เราจะมีความสุขแบบไม่จำกัด พลังงานความอิสระจะแล่นเข้ามาหาเรา

เราจะรู้สึกมั่นใจขึ้น มีพลังงานดีๆ รายล้อม โรบินแนะนำว่า “ฝึกฝนตัวเองกับวิธีนี้ทุกวัน” เมื่อไหร่ที่ชีวิตส่งบททดสอบมาก ก็ให้ฝึกต่อ เราจะเปล่งประกายไปหาความออริจินัล ความอุดมสมบูรณ์ของตัวเราเอง

และเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกถึงความหวัง ความสนุก การขอบคุณ ความกล้าหาญ แรงบันดาลใจ ความเห็นอกเห็นใจ เมตตา ให้เราจูนพลังงานแบบนี้ไปต่อกับพลังงานที่สูงขึ้น เราจะแตะจุดละเอียดอ่อนของเราสูงขึ้นๆ และเกิดเป็นรักและเมตตาต่อตัวเอง พรที่ฟ้าให้เรามาก็จะถูกเผยออก แล้วเราจะรู้ว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ให้แช่มชื่นขึ้นได้ยังไง เพราะเรากำลังฉายแสงของเราออกมาแล้ว

อย่ามองข้ามแมจิกของเรา และอย่าปิดตาตัวเองจากทุกความเป็นไปได้ของตัวเรา หัวใจ ศักยภาพ แรงใจอันไม่มีลิมิตของเรา ที่เรารู้ว่าเรามีตั้งแต่ตอนเรายังเด็กๆ จะได้เปิดออกมาให้หมดสักที

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ต่อได้ที่ 45 คำพูดกอดตัวเอง

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']