“มันเหมือนการที่ร่างกายเราขับเคลื่อนแค่กายหยาบ ถ้าให้เปรียบก็เหมือนหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ของตัวเองไปวันๆ” คนที่เคยตกอยู่ในภาวะนี้ได้บอกกับเรา
ร่างกายภายนอกที่ดูปกติดี แต่ข้างในเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าตอนนี้เรามีความสุขหรือเศร้ากันนะ เพราะลึกๆในจิตใจรู้สึกว่างเปล่าไปหมด เฉยชากับทุกสิ่ง ไร้แพชชั่น ดำเนินชีวิตแบบราบเรียบไม่ตื่นเต้นเหมือนที่เคย นี่เป็นสัญญาณอย่างนึงที่เตือนว่าคุณอาจจะอยู่ในภาวะ Dead Inside ซึ่งเมื่อปล่อยนานไปอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้
“ มีอยู่หลายครั้งที่พ่อซื้อของให้ หรือแฟนเซอร์ไพรส์แต่เรากลับทำหน้านิ่งเฉย ไร้ความตื่นเต้น ทั้งๆ ที่ลึกๆแล้วเราก็รับรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่เราคิดว่าจะแสดงอารมณ์ออกไปทำไม จนโดนถามบ่อยๆ จากคนที่ให้ว่าไม่ชอบหรอ” คนที่เคยตกอยู่ในภาวะนี้ได้เล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งภาวะนี้อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่เจอกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจซึ่งแต่ละคนพบเจอไม่เหมือนกัน เช่น การสูญเสียคนรัก Burnout เจอคำพูดหรือการกระทำที่เลวร้าย และอื่นๆ จนใจรู้สึกด้านชา ไม่ยินดียินร้ายใดๆ นั่นเอง
“เราคิดอยู่บ่อยครั้งว่าเราเกิดมาทำไม? แล้วก็มีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับชีวิตผุดขึ้นมา นอกจากนั้นที่เห็นได้ชัดเลยคือไม่อยากเข้าสังคม ไม่ชอบอยู่ที่คนเยอะๆ แต่อยากกลับบ้านอยู่คนเดียวมากกว่า” ซึ่งคนที่อยู่ในภาวะนี้จะตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตตนเอง และมักแยกตัวออกจากสังคม นอกเหนือจากอาการดังกล่าวที่พูดไปข้างต้น ยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การคิดมากเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่าง คิดแม้กระทั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งบางคนก็อาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในภาวะนี้ เพราะภาวะนี้จะค่อยๆ แสดงออกมาจนหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่คนรอบข้างจะรับรู้ได้ว่าเปลี่ยนไป
“ มันคือความว่างเปล่าที่หนักกว่าทุกคนคิด ” เพราะสิ่งนี้สามารถกัดกินจิตใจทีละนิดๆ จนว่างเปล่า “ มันว่างจนเราปลงไปเลย เหมือนจิตใจไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว ” เธอกล่าว ซึ่งระยะเวลาของความรู้สึกนี้แต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ และแรงกระตุ้น
ทำยังไงดีเมื่อตกอยู่ในภาวะนี้?
“ ส่วนตัวเราจะจดบันทึกให้คะแนนความรู้สึกตัวเองของแต่ละวัน เวลากลับมาอ่านจะได้รู้ว่าเราทำอะไรแล้วมีความสุข อะไรไม่มีความสุข แล้วก็หากิจกรรมทำใหม่ๆ อย่างตัวเราหากิจกรรมที่ไม่เคยคิดว่าจะทำด้วยซ้ำ เช่น นั่งสมาธิ ปลูกต้นไม้ กีฬาที่เล่นคนเดียวได้ เหมือนค้นหาตัวเองอีกรอบ หาแพชชั่นใหม่ๆ อีกรอบ ซึ่งบอกเลยว่าตอนเริ่มยากมาก มันจะเกิดคำถามว่าทำไปทำไม แต่เราต้องลองทำนะ ดึงตัวเองออกไปทำให้ได้ ส่วนคนรอบข้างก็สำคัญมากเพราะถ้ามีใครสักคนที่รับฟังเรา เข้าใจและสนับสนุนเรามันช่วยได้มากจริงๆ”
Dead Inside ถือเป็นภัยเงียบที่เราไม่ควรมองข้าม คลีโอขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังประสบกับภาวะนี้ หรือมีคนรอบข้างเป็นภาวะนี้ ให้สามารถก้าวผ่านไปได้
อ่านบทความอื่นๆ ที่: