ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Love, Men, Relationship

คุยเรื่องความรู้สึกกับเขายังไง ไม่ให้เขาออฟไปเลย ไม่เย็นชาใส่เราด้วย!

How to talk to a man

ยากจังพอมาถึงตอนอยากคุยเรื่องความรู้สึกกับเขา บางทีมันก็แค่ความรู้สึกเล็กๆ ของเรา ที่เราอยากให้เขาทำอะไรให้เราบ้าง เขาได้ยินทีไรก็เหมือนปิดประตูใส่ จนเรารู้สึกผิดแล้วรู้งี้ไม่พูดเลยดีกว่า!

เป็นเหมือนปัญหาโลกแตกในความไม่เหมือนกัน ผู้ชายกับผู้หญิงที่จะมีวิธีสื่อสารคนละแนว ผู้ชายจะรู้สึกเป็นภาระทางใจทันที ถ้าผู้หญิงได้ลองบอกสิ่งที่ต้องการ หรือแชร์ความรู้สึกออกมา เขาจะตั้งกำแพง โต้กลับแบบเจ็บๆ จนเราก็งงนะว่าเรื่องแค่นี้เอง ขออะไรนิดเดียว ทำไมต้องบานปลายอย่างนั้น สงสัยจัดๆ เลยไปอ่านทุกสำนักฮาวทูมา “ผู้ชายและผู้หญิงจะมีวิธีสื่อสารสิ่งที่รู้สึกไม่เหมือนกัน” และ “โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงชอบใช้คำพูด” แต่ “ผู้ชายเมื่อได้ยินกลับรู้สึกว่าเป็นความผิดเขาทันที”

ก่อนอื่นเลยอยากบอกผู้หญิงทุกคนว่า “ถ้าคุณกำลังพยายามส่งเสียงบอกอะไรเขาอยู่ ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองที่สุดกับเขา แล้วเขากลับตั้งกำแพงใส่จนคุณกลับรู้สึกว่า ฉันไม่น่าพูดออกไปเลย อยากบอกว่าคุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ไม่ผิดจริงๆ!!”

มันดีออกไม่ใช่เหรอที่เรามีอะไรเกิดขึ้นในความรู้สึก แล้วได้แชร์กับคนรัก นั่นแปลว่าเราแคร์ความสัมพันธ์ของเรา ไม่อยากให้มันแย่ลง ห่างเหินและเลิกกันไป

คุณรู้สึกเครื่องสั่นได้ บางทีฉันก็ต้องการอะไรคอนเฟิร์มว่าความสัมพันธ์เรายังโอเค

ลองเจาะเข้าไปอีกหน่อยเลยนะว่าทำไมคุณถึงอยากบอกความรู้สึกกับเขา ส่วนใหญ่ก็เพราะว่าคุณมีต่อมเอ๊ะกับอะไรบางอย่าง บางครั้งเขาแสดงออกความรักน้อยเกินไป เขาไม่ค่อยมีเวลา เขาไม่เคยพาไปเที่ยวไหน ทั้งหมดก่อเป็นความรู้สึกในใจ อันนี้บอกเลยว่าเป็นธรรมชาติของผู้หญิงเลยที่จะกระตุกกับอะไรอย่างนี้ง่ายมาก ก็เหมือนกับผู้ชายที่เรื่องเซ็กซ์สำคัญสำหรับเขานั่นล่ะ

คุณอยากให้ความสัมพันธ์เราไม่จืด อยากรู้จักกันมากขึ้น อยากให้คุณค่าของเวลา มันเหมือนเป็นต่อมความเป็นหญิงที่มีมาทุกยุคสมัยว่า “ผู้หญิงมองหาความมั่นคงทางใจเสมอ” คุณเลยไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ ถ้าคุณอยากบอกความรู้สึก อยากขออะไรเขาออกไป เพราะคุณเองก็ต้องการหนทางเอาตัวรอดแบบที่ผู้ชายเขาก็ต้องการเหมือนกัน

ผู้ชายและผู้หญิงมักจะไม่ค่อยสื่อสารกันได้ดีนักหรอก

เหมือนเป็นกฎเหล็กในความต่างกันของผู้ชายกับผู้หญิงเลย “ผู้ชายและผู้หญิงจะไม่ค่อยสื่อสารกันได้ดีนัก เลยทำให้การแสดงความรู้สึกออกมา เพื่อบอกอะไรผู้ชายถึงยากเหลือเกิน”

“ฉันก็ว่าฉันซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองแล้ว เป็นตัวเองแล้ว แต่ทุกครั้งพออ้าปากบอกอะไรเขา เขาก็อึ้ง และตอบแบบที่ฉันรู้สึกผิดไปเลย แถมเขายังดาวน์ ใจอ่อนปวกเปียกลงไปอีก กับแค่ประโยคที่ฉันบอกว่า “เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยหวานกันเลยนะ” ฉันทำอะไรผิดขนาดนั้นเลยหรือ? เขาไม่คุยเรื่องนี้ต่อ ยังรู้สึกแย่ และมันยิ่งทำให้ฉันแย่หนักลงไปกว่าเดิม จนตั้งใจไว้เลยว่าถ้ารู้สึกอะไร ฉันจะไม่พูดมันออกไป”

สิ่งที่เกิดคือคุณรู้สึกว่าเขาออฟไปเลย เขาตอบกลับมาสั้นๆ ที่ช็อคกว่าว่า “หรือผมทำให้คุณพอใจไม่ได้” หนักเข้าไปอีกคือ “หรือเราเข้ากันไม่ได้” ประโยคง่ายๆ แค่ “เมื่อไหร่เราจะไปเที่ยวด้วยกัน?” กลายมาเป็นรักจะร้าวได้เลย

ในความเป็นผู้ชาย จิตวิญญาณของเขาสร้างมาเพื่อแก้ปัญหา มากกว่าเผชิญหน้าความรู้สึก

ทุกสำนักฮาวทูได้พูดประโยคนี้เอาไว้ ว่าความมาสคูลีนในผู้ชายน่ะ ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพศแห่งการแก้ปัญหา มากกว่ารับความรู้สึกและเข้าใจความรู้สึก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกคุณนะ เขาเข้าใจได้ เพียงแต่คุณต้องรู้วิธีที่จะจัดการกับเขามากกว่า การบอกเขาว่า “เรามีอะไรต้องคุยกัน?” และมองตาเขาตรงๆ อาจไม่เวิร์ค นั่นทำให้เขากลัวทันที ว่าเขาจะโดนอะไรมั้ย? และต่อให้เป็นการแชร์ความรู้สึกที่ใสซื่อที่สุดของคุณ เขาก็จะรู้สึกเหมือนโดนสอบสวนได้

แสดงความรู้สึกกับเขายังไงให้เราดีๆ ต่อกันที่สุด

เป็นความฝันของผู้หญิงเลยนะที่อยากจะพูดเพียงหนึ่งประโยค แล้วเขายิ้มบอกว่า “ผมเข้าใจนะ” เขาเข้ามากอดแล้วบอกว่า “ผมจะพยายาม” เราต้องการเพียงเท่านี้จริงๆ แต่ไม่ เขาไม่เป็นอย่างนั้นเลย ลองดูฉากในหนังเรื่อง Crazy, Stupid Love ฉากที่จูเลียน มัวร์พยายามคุยกับสตีฟ คาร์เร็ลล์ในรถ คุยอะไรเขาก็เงียบ จนเธอต้องของขึ้นเรื่อยๆ บอกเขาไปว่า “ฉันนอกใจคุณน่ะ” เขาก็ยังเงียบและเปิดประตูรถไถออกไปเลย

“ทำไมคุณไม่พูดอะไรสักอย่าง คุณก็รู้ว่าถ้าทำอย่างนี้ ฉันจะของขึ้นและจะพูดมากขึ้นๆๆๆ”

จะบอกว่าเวลาเราของขึ้นตอนเขาไม่พูดน่ะ เราจะรู้สึกผิดไปเลยว่าไม่น่าโกรธเลย แต่อย่ารู้สึกแบบนั้นนะ คุณแค่พลาด แต่ไม่ได้ทำผิด ไม่ว่าหน้าเขาจะเย็นชา เขาจะถอนหายใจ กอดอก แสดงทุกท่าทางว่ากำลังออฟอยู่ คุณก็อย่าคิดว่าตัวเองทำผิดอยู่ดี เพราะนี่คือกฎของการสื่อสารที่มักไม่เข้าใจกันของผู้ชายและผู้หญิง มันเป็นเรื่องของธรรมชาติจริงๆ

“สิ่งที่คุณควรทำเป็นสิ่งเล็กๆ ที่คุณอาจมองข้ามไปจริงๆ พวกเขาไม่ได้ยากขนาดนั้นแน่นอน”

ถ้าคุณแสดงความรู้สึกออกไปแบบนี้ เขาจะรู้สึกได้ว่า…..

แทบจะทุกๆ ครั้งที่คุณแสดงความรู้สึกออกไป เขาจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุณเบลมอยู่ ถึงคุณจะพยายามบอกว่าไม่ๆๆๆ เขาก็คิดแบบนั้นแหละ สิ่งแรกเลยคือต้องทำให้เขารู้สึกว่า “ฉันไม่ได้เบลมคุณอยู่นะ”

คาดหวังไว้เลยว่าถ้าพูดอะไรออกไป เขามาแนวนี้แน่ๆ ตั้งรับเอาไว้และป้องกันไว้ก่อน สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ

“บอกเขาว่าสิ่งที่คุณกำลังจะบอกออกไป คุณไม่ได้เบลมเขา ไม่ได้อยากทำให้เขารู้สึกแย่ คุณเข้าใจเขานะว่าเขาอาจจะรู้สึกอย่างนี้ แต่คุณอยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้น และนี่คือสิ่งที่คุณรู้สึก”

แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกถูกเบลมล่ะ?

ก็เพราะเขารับผิดชอบในความรู้สึกกับคุณน่ะสิ เขาแคร์ อยากทำให้ดี หรือลึกๆ เขารู้สึกว่ายังทำให้คุณไม่ดีพอ เขาจะรู้สึกว่าเหมือนเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเลย คือทำให้คุณแฮปปี้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็มาจากความรู้สึกที่เขาอยากทำให้ดี ไม่ได้เกี่ยวกับนิสัยที่แย่ หรือเขาไม่รักคุณหรอกนะ และถึงเขาจะไม่อินเลิฟกับคุณ เขาก็ยังเกิดความรู้สึกว่า ต้องทำให้คุณมีความสุขให้ได้อยู่ดี

“เพราะฉันรักคุณ ฉันเคารพคุณ ฉันให้คุณค่ากับความเป็นเรา ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าฉันบอกคุณว่าฉันรู้สึกแบบนี้……” ประโยคอะไรแบบนี้ล่ะที่มันจะทำให้เขารีแล็กซ์ขึ้นตั้งแต่แรกเลย ป้องกันไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกเบลมได้

ทำให้เขาสบายใจ เปิดกว้าง รีแล็กซ์ มาถึงตอนนี้เขาก็พร้อมจะพูดคุยตรงๆ และหาทางทำให้ดีขึ้นไปด้วยแล้ว

ภาษากายก็สำคัญ มือของคุณมีผลต่อเขานะ

ระหว่างคุยกับเขา ลูบหลัง ลูบมือเขาให้ผ่อนคลายไปด้วย หรือคุยตอนได้นอนกอดกัน ตอนที่กำลังนั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน โมเมนท์อารมณ์เย็นๆ ที่เขานั่นล่ะทำให้คุณรู้สึกสบายได้ขนาดนี้ เขาก็จะหันมาเข้าใจคุณได้เลย

อย่าลืมว่าคุณคืนคนรักของเขา ไม่มีใครจะเข้าใจเขาได้เท่าคุณ และไม่มีใครจะเข้าใจคุณได้เท่าเขาอีกแล้ว ให้คุณค่ากันและกันจากใจด้วยความอ่อนโยน ความจริงใจที่เห็นคุณค่าในความรักของคุณและเขา จะนำพาทุกสิ่งให้เกิดเป็นความเข้าใจได้เอง

ลุยต่อเลยนะถ้าอยากแชร์ความรู้สึกกับเขา อย่ากลัว อย่าคิดว่าตัวเองผิดที่จะพูด ไปต่อเลย

อ่านต่อได้ที่ ความสัมพันธ์จะไปต่อได้ เราต้องเปิดใจคุยกัน

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']