“ความรักที่ปราศจากความเสี่ยง ไม่ใช่ความรัก” นี่คือประโยคที่เราสะดุดเห็นเมื่อพลิกด้านหลังของหนังสือ “ทำไมต้องตกหลุมรัก” จนต้องหยิบเข้าตะกร้าแล้วซื้อกลับบ้านทันที เพราะอยากจะรู้เหลือเกินว่าหนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรเราอีกบ้าง “ทำไมต้องตกหลุมรัก?” เล่มนี้เขียนโดยสรวิศ ชัยนาม ซึ่งแปลมาจาก Alain Badiou ความรัก และ The Lobster หลัก ๆ ในหนังสือจะพูดถึงเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รวมไปถึงความรักในสังคมทุนนิยม แต่วันนี้เราอยากจะหยิบบางพาร์ทจากหนังสือเล่มนี้มาเล่าให้ฟังกันแบบเรียกน้ำย่อย เพราะอ่านแล้วมันโดนมากจริง ๆ
ยังจำความรู้สึกที่ตกหลุมรักใครสักคนได้อยู่ไหม? ความรู้สึกที่เราพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ชอบเขาไปมากกว่านี้ เพราะกลัวใจจะเจ็บ แต่สุดท้ายก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทุ่มใจลงไปหมดแม้จะต้องเสี่ยงที่จะได้ความไม่สมหวังกลับมา นั่นแหละที่เขาเรียกว่าอาการตกหลุมรัก เราไม่สนว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนยังไง เรารู้ว่าเราแค่ชอบเขา แค่นั้นเลย อาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญได้มาคุยกันแบบงง ๆ แต่ดันชอบเฉย หรืออาจจะเป็นเพื่อนขอวเราเองที่รู้จักกันมานานหลายปี เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะดันไปตกหลุมรักใคร และพอเราตกเข้าไปในหลุมรักนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา เราก็ไปเสียหมดจนเหมือนคนตาบอดที่กำลังคลั่งรักอะไรแบบนั้นเลย
ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า สิ่งที่เราเรียกกันว่า ความรัก เริ่มจากการพบกันโดยบังเอิญเสออ ซึ่งการพบกันโดยบังเอิญที่ว่านี้นี่แหละ ที่จะนำไปสู่การตกหลุมรักใครบางคนที่เราอาจะไม่คิดว่าจะเป็นคนนี้ การตกหลุมรักใครสักคนมันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เลย มันคือการที่คนสองคนได้มาบังเอิญเจอกัน หรือบังเอิญรู้จักกัน จนเมื่อเวลาผ่านไป เราอาจจะคิดว่า “หรือนี่คือสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาให้เราได้เจอกัน” มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราไม่รู้หรอกว่าตอนไหรเราจะเจอคนที่รู้สึกว่า นี่แหละ สปาร์คจอยจังคนนี้
“เราไม่สามารถออกจากบ้านไป แล้วบอกว่า “วันนี้ฉันจตะตกหลุมรักละนะ” หรือในทางตรงข้าม เราไม่อาจพูดได้ว่า “ฉันจะไม่ไปตกหลุทรักใครช่วงนี้นะ ตอนนี้จะโฟกัสกับเรื่องงาน”
เราอ่านประโยคนี้ในหนังสือครั้งแรกแล้วทัชมาก มันจริงมาก เราไม่สามารถควบคุมได้เลย มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นตอนไหน ที่ไหนก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วการตกกลุมรักมันไม่มีเวลาที่ตายตัวหรอกนะ หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งเล็ก ๆ อย่างการพบกันโดยบังเอิญที่นำไปสู้การตกหลุมรักไม่ว่าจะเกิดในรูปแบบใดก็ตาม เพราะฉะนั้นความรักจึงเหมือนการสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า
อีกอย่างนึงที่พิเศษมาก ๆ คือ เวลาที่เราตกหลุมรักใครสักคน เราแทบไม่รู้อะไรเลย เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงรู้สึกกับคนนี้ ทำไมต้องเป็นเขาคนนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่มีอะไรพิเศษขนาดนั้น เป็นความไม่รู้ที่เราก็ตอบตัวเองไม่ได้ พอเราคาดเดาอะไรจากเขาไม่ได้เลย มันเลยทำให้เรากระวนกระวายใจ เมื่อไหร่เขาจะมาตอบแชทเรา เอ๊ะ หรือเขาจะเทเราแล้ว มันคือการคาดเดาไปเรื่อย คือความลุ้นในทุก ๆ วัน ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเวลาเขาหายไปและเขากลับมา นั่นแหละคืออาการตกหลุมรัก พยายามจะบอกตัวเองว่า ไม่หรอก เราไม่ได้ชอบเขาขนาดนั้น แต่ความจริงลึก ๆ เราก็ชอบเขาเข้าแล้วล่ะ
สิ่งที่เรารู้สึกหลังอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือ ความรักคือเรื่องของ “ความกล้าหาญ” เพราะนั่นแปลว่าเรากล้าที่จะลงไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอน รวมไปถึงความเสียใจ
“ความรักที่ปราศจากความเสี่ยงไม่สามารถเป็นความรักได้” ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่ใช่ความรัก หนังสือเล่มนี้ตอบเราว่า การที่เราเลือกที่พร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนี้ ก็เหมือนให้เราทิ้งความปลอดภัยที่เราตั้งไว้ เรายอมให้ความเสี่ยงพวกนั้นมากำหนดชีวิตเราแทนความมั่นคงที่เราได้ตั้งเอาไว้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะรักใครชอบใครสักคนมันเลยต้องมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อเราตอบคำถามตัวเองได้ว่า โอเคฉันพร้อมรับความเสี่ยงนี้แล้ว นั่นแหละ คุณมีความรัก 🙂
จริง ๆ ในหนังสือเล่มนี้มีมุมมองความรักอีกมากมายที่รอเราเข้าไปเปิดอ่านอย่างช้า ๆ เรียนรู้และสำรวจความรู้สึกของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน เป็นอีกเล่มที่เราอ่านแล้วทัชใจมากจริง ๆ บางคนพยายามจะหนีความรู้สึกเวลาที่เราเริ่มรู้สึกรักหรือชอบใครสักคนเพราะกลัวว่าตัวเองจะเจ็บ เราเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่คนที่กล้าเผชิญกับความรู้สึกพวกนั้นต่างหาก คือคนที่มีความรักอย่างแท้จริง
อยากให้ลองไปอ่านกัน มันทำให้เราได้เห็นตัวเองในบทบาทนักรักได้ดีเลยล่ะ เราเชื่อว่าถ้าอ่านจบแล้วน่าจะตอบคำถามบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวได้เยอะเลยล่ะ แล้วเราก็จะได้รู้ว่า สุดท้ายแล้ว “ทำไมเราต้องตกหลุมรัก”
#CleoRead
อ่านเรื่องอื่น ๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO