ฉันไม่โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคน “มองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น”

ฉันไม่ได้โชคดีแบบนั้น ฉันไม่ได้โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคนมองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น มองเห็นความเจ็บปวดของฉัน และอยากฉุดฉันขึ้นไป ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่ฉันจะบอกตัวเองได้ดีไปกว่า “ยอมรับความจริงเถอะ” ทุกครั้งเวลาที่ฉันเห็นใครๆ เขารักกัน ความหวังในใจ ความเพ้อทุกครั้งที่กดแอปสีดำแดงเพื่อเลือกซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ โจทย์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องเป็นเรื่องที่ฉันสามารถสมมุติตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องได้ แล้วจินตนาการต่อว่า บางทีฉันอาจจะเจอผู้ชายในชีวิตจริง ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่อง หนังสือฮาวทูบอกว่า ให้คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุด แล้วตัดออกให้เหลือสัก 10 ข้อว่านั่นคือคุณสมบัติผู้ชายที่อยากได้ ฉันลองทำและกุมลิสท์นั้นไว้แน่นในกระเป๋าสตางค์ เอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ด้วย บางทีที่เขาบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จะมอบพลังงานของความรักดูดใครให้เข้ามาในชีวิต ฉันจะเอาลิสท์นั้น ออกไปหาแสงจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนึกถึงเขา แน่นอนว่าฉันมีความเชื่อ ยังคงเชื่อ และก็จะเชื่อต่อไป เรื่องราวในโทรศัพท์กับเพื่อนสาว เราจะวนเวียนกันที่ซีรีย์ที่เพิ่งดู กรี๊ดพระเอก อยากบินไปเกาหลี แล้วเราก็จะกลับมาที่เรื่องของเรากัน ทำไมเพื่อนคนนั้นได้แฟนดีจัง แฟนเขาพาไปเมืองนอกบ่อยมากเลย เขาไปทริปกันอีกแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่พยายามหาเรื่องเน่าๆ ในเรื่องรักของคนอื่น “แต่พวกเขาอาจมีอะไรไม่แฮปปี้ก็ได้นะ พวกเราไม่มีทางรู้หรอก” มันคงเป็นคำปลอบใจที่เราบ่นให้กันฟัง แต่ฉันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิตอยู่ดี “ที่เธอเหนื่อยเพราะไม่มีคนรักหรือเปล่า?” ประโยคจากเรื่อง My Liberation Notes หัวหน้าของพี่สาวนางเอกถามขึ้นมา หลังจากที่เธอมาทำงานแล้วบ่นว่าเหนื่อยๆๆๆๆ ทำไมชีวิตฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้ […]

คุณหมอสา-Guardian Diamond พี่สาวที่เปิดประตูลับ ช่วยเคลียร์พลังงานลบให้คุณพบความสำเร็จ

ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]

5 วัดปังในฮ่องกง ขออะไรเทพให้รัวๆ

“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

“อกหัก” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดกับฉัน ฉันเลิกโกหกตัวเองสักที

เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]




Fashion

ไรวิน สาวเปรี้ยวที่หลงใหลในแฟชั่น เธอจึงเริ่มลงมือทำตามความฝันเล็ก ๆ ของตัวเอง

ไรวิน VALSER

หากจะให้พูดถึงเรื่องความชอบหรือแพชชั่น แน่นอนว่าความชอบที่ว่านี้ล้วนมีหลากหลายและแตกต่างกันออกไปตามความสนใจและประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาของแต่ละคน ความชอบไม่ใช่สิ่งตายตัว สิ่ง ๆ นั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจเรารัก บางคนชอบอ่านหนังสือ บางคนอินซีรีส์ บางคนรักการปลูกต้นไม้ ส่วนเธอคนนี้หลงใหลในแฟชั่นแบบสุด ๆ เธอคือ ไรวิน ชื่นสุนทร สาววัย 23 เพิ่งเรียนจบหมาด ๆ ได้งานประจำที่แสนจะท้าทาย และสุดท้าย “เธอมีความฝันเล็ก ๆ ที่อยากทำเพื่อตัวเธอเอง”

ถ้าเปิดไอจีของไรวินดู เพื่อน ๆ ของเธอรวมถึงตัวเราเองด้วยก็รู้เลยว่าเธอคือสายแฟชั่นตัวจริง ไรวินชอบแต่งตัว เธอมีความสุขกับการเปิดตูเสื้อผ้า หยิบเสื้อตัวนั้นมาลอง หยิบกางเกงตัวนี้มาใส่ แมทช์กับกระเป๋าและรองเท้า จะบอกว่าเธอสนุกกับการแต่งตัวก็ว่าได้ ไรวินไม่มีสไตล์ที่ตายตัว อยากลองอะไรก็ลอง อยากใส่อะไรเธอก็ใส่เลย ไรวินถือคติว่า 

“ออกจากบ้านแต่ละครั้ง เราต้องดูดี เราไม่รู้ว่าเราต้องมี first impression กับใครตอนไหนเมื่อไหร่”

ไรวิน เล่าว่าเธอเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจจะเพราะว่าตอนเด็ก ๆ เธอเคยเดินแบบเด็ก ถ่ายแบบโฆษณา ลงหนังสือพิมพ์ เรียกได้ว่าเซนส์แฟชั่นของเธอก็เฉิดฉายมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผสมกับความชอบในแฟชั่นที่เธอมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ชอบอ่านนิตยาสารแฟชั่น รักการนั่งดูแฟชั่นโชว์ในทีวีในเวลาว่าง พอเราได้ฟังเธอเล่าเรื่องผ่านน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและความหลงใหลในแฟชั่น ก็ทำให้เราเห็นเสน่ห์ในตัวเธอที่เผยออกมาแบบไม่รู้ตัว จนทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า ไรวินคือ fashion lover จริง ๆ 

ไรวิน สาวแฟชั่น introvert ขี้อาย และบ้ากับทุกอย่าง

ตั้งแต่สมัยเรียนอักษรฯ ไรวินมักมีแฟชั่นการแต่งตัวเก๋ ๆ มาเซอร์ไพรส์เพื่อน ๆ ที่มหาลัยอยู่เสมอ จนหลายคนที่เห็นเธอก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องแฟชั่นต้องยกให้ไรวินจริง ๆ แต่เห็นลุคแซ่บ ๆ แบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเธอเป็นสาวปาร์ตี้ ชอบงานสังคมเจอคนเยอะ แต่จริง ๆ แล้วไรวินคือสาว introvert ที่ซ่อนความเขินอายไว้ภายใต้เมคอัพและเสื้อผ้าที่สวมใส่ เธอไม่ชอบที่ที่เสียงดัง ไม่ไปร้านเหล้า แต่เลือกอยู่กับคนที่สบายใจเงียบ ๆ ก็พอแล้ว

ถึงเธอจะเป็น introvert แต่ไรวินก็นิยามตัวเองไว้แบบสั้น ๆ คำเดียวจนทำเราสะดุด นั่นคือคำว่า บ้า คำว่าบ้าของเธอในที่นี้คือเธอเป็นบ้า เฮฮา คุยสนุกเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิท บ้างาน และกล้าที่จะทำอะไรบ้า ๆ ขอให้ตัวเองแฮปปี้ก็พอ ยิ่งฟังเธอเล่าเรื่องตัวเองไปเรื่อย ๆ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่ เป็นความสดใสและพลังบวกแบบที่เธอสร้างขึ้นมาเองที่ซ่อนอยู่ข้างในตัวไรวิน ทำให้เรารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับเธอ ประกอบกับความเปรี้ยวของไรวิน ทำให้หลายคนรอบตัวเธออดใจรอดูไม่ได้ว่าวันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันต่อ ๆ ไป เธอจะมาด้วยลุคไหนกันนะ

เรื่องการแต่งตัวเธอเป๊ะ ส่วนเรื่องงานเธอก็ปัง จะบอกว่าไรวินคือ working woman ก็ได้นะ เพราะเธอเริ่มทำงานมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ไรวินได้มีโอกาสทำงานกับ ผศ.ดร.น้ำฝน ไล่สัตรูไกล มาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเด็กฝึกงาน จนเมื่อเธอจบปี 4 ไรวินก็ได้เข้าทำงานต่อกับ ผศ.ดร.น้ำฝน เลย หนึ่งในงานที่เธอได้ทำคือการช่วยดูแลแบรนด์รองเท้าหนังที่ชื่อว่า DEVANT หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ไรวินก็ได้ออกมาหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยการย้ายที่ทำงาน ซึ่งเธอก็บอกว่างานนี้แทบไม่ใช่สายงานที่เธอจบมาเลย แต่เธอก็อยากลองทำดู 

งานประจำก็ต้องทำ แต่งานในฝันก็ต้องไม่ทิ้ง

ในระหว่างที่เธอทำงานใหม่นี้ ไรวินก็ยังได้เปิดร้านกระเป๋าหนังเล็ก ๆ ของตัวเองที่ชื่อว่า VALSER เธอบอกว่าเธอได้ลงมือเองทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ดีไซน์กระเป๋า หาวัสดุ ถ่ายรูป และลงขาย โดยกระเป๋าทุกใบของเธอนั้นเป็น upcycling ทั้งหมด เพราะเธอได้หนังทำกระเป๋ามาจากเศษหนังแท้ที่ไม่ใช้แล้ว และนำมาดีไซน์ใหม่เป็นกระเป๋าในแบบที่เธอต้องการ “เรารู้สึกว่า fashion waste ตรงนั้นมันมีเยอะมาก และสีสวย ๆ มันก็มีเยอะมาก แล้วเราเสียดายตรงนั้น” ดังนั้นกระเป๋าทุกใบของ VALSER จะเป็น limited edition ทั้งหมด มีหนังแต่ไหน เธอก็ทำแค่นั้น และจะไม่สั่งย้อมเด็ดขาด และนี่ความพิเศษของแบรนด์กระเป๋าเธอ 

เราก็คิดว่าทำไมเราไม่เอาตรงนี้มาให้สุด ๆ ไปเลย ให้มันคุ้มค่ากับการชีวิตสัตว์ที่เสียไป 

ไรวินบอกกับเราว่า VALSER เกิดจากความชอบในแฟชั่นของเธอล้วน ๆ เริ่มจากสิ่งที่อยากใช้ สิ่งที่อยากมี  ดังนั้นเธอจึงลงมือออกแบบกระเป๋าเองทุกใบในแบบที่ต้องการ ทั้งในแง่ของดีไซน์และการใช้งาน ซึ่งกระเป๋าทุกรุ่นนั้นจะมีความเป็นตัวเธออยู่สูงมาก รวมไปถึงการตั้งชื่อรุ่นของกระเป๋าเธอ แต่ละใบก็มีที่มา มีความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งล้วนเกิดจากชีวิตของเธอและคนรอบตัวเธอเอง ตอนนี้ VALSER มีกระเป๋าอยู่ทั้งหมด 3 รุ่น 

Rei Clutch 

Rei Clutch เป็นกระเป๋ารุ่นแรกของ VALSER ซึ่งขายหมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน ไรวินเล่าให้ฟังว่าใบนี้เป็นจุดเริ่มต้นเพราะเธออยากที่จะมีกระเป๋าคลัทช์แบบหนังเรียบ ๆ สักใบไว้ใส่ของได้เยอะ ๆ ใช้งานได้ดี ทนต่อการใช้ แต่ก็ดีไซน์ก็ต้องสวยและราคาไม่แพงเกินไป “เราเริ่มต้น Rei Clutch เพราะอยากใช้เองก่อน อยากได้แบบนี้แต่ไม่มีขาย งั้นทำเองเลยแล้วกัน” 

สีของกระเป๋าแต่ละใบก็จะมีความแตกต่างกันใบตามหนังที่เธอได้มา สีน้ำตาลบ้าง ดำบ้าง หรือมาบางทีก็เป็นสีทูโทน กลายเป็นความน่าตื่นเต้นว่ากระเป๋าใบต่อไปที่ออกมาของเธอนั้นจะมาเป็นสีอะไร นอกจากดีไซน์กระเป๋าแล้ว ชื่อรุ่น Rei Clutch ก็เธอก็ยังได้มาจากชื่อของเธอเองในภาษาญี่ปุ่น คลัทช์ใบนี้จึงเหมือนกระเป๋าของเธอจริง ๆ 

Bella Pouch

Bella Pouch กระเป๋าใส่โทรศัพท์มือถือดีไซน์เก๋ ที่ได้ชื่อรุ่นมาจากนางแบบที่เธอชอบอย่าง Bella Hadid ไรวินชอบเบลล่ามาก เธอบอกว่าส่วนหนึ่งก็ได้แรงบันดาลมาจาก Bella Hadid ด้วยเช่นกัน เลยขอยืมชื่อเบลล่ามาตั้งเลยก็แล้วกัน 

Ireene Bag 

และรุ่นล่าสุดอย่าง Ireene Bag เธอบอกว่าเธอทำออกมาเพื่อพี่สาวของเธอโดยเฉพาะ โดยนำชื่อของพี่สาวมาใช้เป็นชื่อกระเป๋ารุ่นนี้ด้วยเช่นกัน ไรวินเล่าว่าพี่สาวเธอทำงานหนัก และมักจะพกของพะรุงพะรังอยู่เสมอ จะเดินทางไปไหนก้ต้องหิ้วของเยอะแยะไปหมด ไรวินจึงได้ลงมือดีไซน์กระเป๋าที่ออกแบบมาเพื่อพี่สาวเธอโดยเฉพาะ เป็นกระเป๋าหนังเรียบ ๆ ดีไซน์มินิมอล เน้นการใช้งาน ไม่ว่าจะใส่ laptop ใส่หนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ ก็ทนทาน สามารถรับน้ำหนักได้เยอะ เพราะหนังที่เธอเลือกมาใช้ทำกระเป๋ารุ่นนี้มีความทน แต่น้ำหนักเบา ทำให้ Ireene Bag สามารถจุของได้เยอะ (เธอบอกว่ารุ่นนี้สามารถใส่ laptop ได้ถึงสองเครื่องเลย) ถือง่าย ไปไหนก็สะดวก และที่สำคัญคือ ยังดูดีมีไตล์ในแบบฉบับของ VALSER 

ไรวินบอกกับเราไว้เลยว่า ไม่ว่าจะอีกกี่ปี ราคากระเป๋าทุกใบในร้านเธอจะไม่เกินหนึ่งพันบาท  เธอไม่เน้นกำไรมากมาย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเธอสามารถคิดราคาขายที่แพงกว่านี้ก็ได้ 

ปัจจุบันนี้มีของเหลือจากแฟชั่นมากมาย ซึ่งยังใช้ประโยชน์ไม่ได้อย่างเต็มที่ เราเลยจึงนำหนังเหลือใช้จากการตัดไปทำสินค้าต่าง ๆ และนำเศษนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้เรายังเห็นความสวยงามในร่องรอยของหนังที่ไม่เพอร์เฟกต์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราได้เห็นความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง

VALSER จึงถือเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากความชอบและแพชชั่นที่เธอมี ความเป็นตัวเองของไรวิน เสื้อผ้าที่เธอใส่ เมคอัพที่เธอแต่ง คนรอบตัวที่อยู่ในชีวิต รวมถึงประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ได้หลอมรวมกลายเป็นเธอในวันนี้ เธอไม่ได้สร้างแบรนด์เพราะอยากดัง หรือหวังกำไรมาก ๆ แต่เธอสร้าง VALSER ขึ้นมาจากความฝันและความชอบของเธอ และวันนี้เธอก็ทำมันได้สำเร็จ นี่อาจจะไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเธอ แต่อย่างน้อยเธอก็กล้าที่จะลงมือทำตามใจตัวเอง เราขอเป็นกำลังใจให้ไรวินในทุก ๆ ก้าวที่เธอเลือกเดินนะ

และสำหรับใครที่สนใจกระเป๋าหนัง VALSER ก็เข้าไปดูเพิ่มเติมได้เลยที่ IG: @valser.store หรือใครอยากจะส่องแฟชั่นเปรี้ยว ๆ ของเธอก็สามารถฟอลโล่วไอจีไรวินได้เลยที่ @rei__raiwin

By Jiratchaya

อ่านเรื่องราวอื่น ๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']