ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Self Love

“อย่าลืมอนุญาตให้ตัวเองรู้สึก” รู้จักและรักตัวเองกับ แพร์ วิลาวัณย์

แพร์ วิลาวัณย์

ทุกวันนี้เรามักถูกบอกให้คิดบวกอยู่ตลอดเวลา ห้ามเอา negative vibes ไปพ่นใส่คนอื่น ตื่นมาฉันต้องเป็นคนที่สดใส คิดบวก คิดแง่ลบไม่ได้ อิจฉาคนอื่นไม่ได้ เพราะถ้าคุณเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ คุณจะกลายเป็นคนที่ไม่น่าคบในทันที ทั้งๆ ที่อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ใครกันที่เป็นคนกำหนดว่าเราควรรู้สึก หรือไม่รู้สึกอย่างไร แพร์ วิลาวัณย์ เป็นอีกคนที่เคยอยู่ในจุดนั้น เธอถูกกดทับด้วยความรู้สึกของตัวเอง จนวันนี้เธอได้เรียนรู้ที่จะทำความรู้จักตัวเอง สื่อสารกับตัวเอง และรักตัวเองมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

แพร์ วิลาวัณย์

ความรักตัวเอง คือการรู้จักตัวเอง

แพร์คือผู้หญิงในช่วงวัย 30 กว่า แน่นอนว่าเธอโตมาในยุคที่การแสดงออกทางอารมณ์เป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนัก เธอเล่าว่า “ตั้งแต่เราเด็กๆ ก็ถูกฝังมาตั้งแต่โรงเรียน ที่บ้าน หรือในสังคมว่าคนที่มีอารมณ์เยอะๆ จะดูไม่ professional  ไม่เป็นผู้ใหญ่ เหมือนเราเปิดเรื่องอารมณ์โดยที่เราไม่รู้ตัว คือเราก็ไม่ได้ตั้งใจปิด เราเลยไม่เคยเรียนรู้อารมณ์ของตัวเองมาก่อน โดยเฉพาะอารมณ์ที่เป็น negative เช่น ความเกลียด ความโกรธ ความหงุดหงิด กลายเป็นว่าเราไม่เคยแสดงออกหรือพูดถึงอารมณ์เหล่านั้นออกมาเลย ไม่เคยสื่อสารอารมณ์แบบนี้กับคนอื่นเลยด้วยซ้ำ”

แพร์เล่าว่า พอเธออายุ 20 กว่า เริ่มมีความสัมพันธ์ มีชีวิตคู่ มีแฟน เพราะฉะนั้น การที่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่นเลยเป็นสิ่งที่เธอควบคุมไม่ได้ “มันต้องมีบางอย่างที่เราไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งใจ หรือรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่กลายเป็นว่าเราไม่มีพื้นที่ที่จะให้ตัวเองได้แสดงออก เพราะเราจะรู้สึกว่า เราต้องแสดงแต่อารมณ์ดีๆ อารมณ์ที่ไม่ดีเราต้องเก็บเอาไว้และจัดการตัวเอง”

เมื่อร่างกายเริ่มส่งเสียงเตือน

อารมณ์ต่างๆ ที่เธอเก็บไว้ไม่เคยระบายออกมานั้นเริ่มสื่อสารออกมาผ่านร่างกายของเธอ เช่น หายใจเร็ว หายใจไม่อิ่ม ใจเต้น ขนลุก ทำให้เธอเริ่มสงสัยและสนใจเรื่องนี้มากขึ้น แพร์เริ่มดูแลตัวเองทางสุขภาพจิต “ครั้งแรกเราเคยคุยกับคุณหมอจิตแพทย์ คุณหมอก็บอกว่า “เราต้องไปหัดโกรธ” ลองจดออกมาว่ามีสถานการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เราโกรธ สิ่งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แพร์ได้เรียนรู้ตัวเอง จนทุกวันนี้แพร์ทำงานเป็นนักจิตบำบัดด้วย เราก็เห็นทั้งผู้รับบริการ ผ่านเพื่อน คนรอบตัว เราเห็นเลยว่า คนส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ตัวเองรู้สึก เพราะฉะนั้นมันเลยทำให้เราไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ทำให้ไม่รู้ว่าต้องดูแลตัวเองยังไง”

ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราแสดงอารมณ์ไม่ได้ แต่มันเหมือนเราไม่เคยเรียนรู้มาก่อนว่ามันสามารถทำได้ คุณหมอและนักจิตวิทยาจะพูดเสมอเลยว่า “อารมณ์ไม่ใช่เรื่องผิด” เราไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมาซัพพอร์ตอารมณ์นั้น ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ชอบก็คือชอบ ตอนนั้นพอเราไม่แสดงอารมณ์ อาการมันเลยออกมาทางร่างกาย ในหัวมันคงคิดอยู่ตลอดแต่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนว่า สิ่งนี้เรียกว่าโกรธ ไม่พอใจ

เธอเล่าถึงช่วงที่อารมณ์ของเธอได้ถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เธออนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึก “พอเราได้แสดงอารมณ์ออกมา กลายเป็นว่าเราผ่อนคลายมากขึ้น เราได้สื่อสารสิ่งที่เรารู้สึกผ่านอะไรหลายๆ อย่าง มันก็ทำให้เราเริ่มเรียนรู้อารมณ์ของตัวเอง เวลาโกรธเราจะเป็นแบบนี้ สิ่งที่ทำให้เราโกรธได้ ค่อยๆ จับสัญญาณไปเรื่อยๆ แล้วหาวิธีจัดการกับมันต่อ สถานการณ์ไหนแสดงความโกรธได้ สถานการณ์ไหนแสดงออกไม่ได้ แต่เรามาฮีลตัวเองหลังจากนั้นได้ยังไง”

ลาออกจากงานประจำ

การลาออกจากงานประจำมันคือการยืนหยัดทางด้านอารมณ์ของตัวเองเหมือนกัน

อีกหนึ่งโมเมนต์ที่เป็นจุดเปลี่ยนให้เธอรักตัวเองมากขึ้น นั่นก็คือ การลาออกจากงานประจำ มันไม่ใช่เรื่องยาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เธอบอกกับเราว่า วินาทีที่เธอลาออกจากงานประจำ มันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่มันคืออารมณ์และความคิดที่เธอไตร่ตรอง มองถึงข้อดีข้อเสีย และกลั่นกรองออกมาอย่างดีแล้ว “อารมณ์ก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งได้ เราคิดว่าเราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เพราะเรารู้สึกยังไง เรารู้สึกไม่โอเค เราเสียใจ เราอึดอัด เราไม่เหลือความไว้วางใจ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้เราเลือกที่จะทำยังไงต่อไป พอเราชัดเจนว่าเราไม่ไปต่อแล้ว มันก็ช่วยผ่อนคลายสำหรับเรา แต่มันไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเลือกการลาออก”

“ต้อง” และ “ควร” คีย์เวิร์ดของความกดดันในทุกวันนี้

ทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความกดดัน ฉันต้องเป็นแบบนั้น ฉันควรมีอย่างนี้ บางทีเราอาจะไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราลองแสดงความรู้สึกออกมา และค่อยๆ ถามตัวเองว่าทำไมเราถึงรู้สึกกดดันจัง ฉันกดดันเพราะฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำ ยุคสมัยก็เกี่ยวนะ เดี๋ยวนี้สื่อมันเยอะมาก เราไม่มีช่วงเวลาได้เบรคตัวเองออกมาเหมือนสมัยก่อน เราไม่มีช่วงเวลาของการหยุดพักการรับรู้ข่าวสาร “เราอยู่ในเจนที่บอกว่า เราโตมาแล้วต้องประสบความสำเร็จ ต้องมีเงิน มีรถ ไม่ว่าเราจะทำอะไรมันจะมีคู่มือไปทุกอย่าง และถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นคุณจะแปลกประหลาด มันดูผิดโดยที่เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่ามันใช่หรือเปล่า”

ผิดไหมที่จะ “อิจฉา” 

ความอิจฉา เหมือนเป็นอารมณ์ต้องห้ามที่ถ้ารู้สึกขึ้นมาเมื่อไร เราจะดูไม่ดีทันที ทั้งๆ ที่มันก็เป็นแค่อารมณ์เหมือนอารมณ์อื่นๆ แพร์เองก็เคยรู้สึกอิจฉาเช่นกัน เธอบอกว่า “มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะต้องถูกตัดสินว่าดีหรือไม่ดี พอความรู้สึกอิจฉามันถูกจัดให้อยู่ในอารมณ์ในแง่ลบแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ควรรู้สึกไม่ดีแบบนี้ เราควรมีแต่พลังบวก”

แพร์พูดเรื่องความอิจฉาเอาไว้ได้ดีมาก เธอบอกว่า เราสามารถมองความอิจฉาให้เป็นความ positive ได้ หนึ่งคือเรารับรู้ แปลว่าเราอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึก การอนุญาตให้ตัวเองรู้สึก การยอมรับว่ากำลังอิจฉาอยู่ มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะว่าคุณกำลังปลดปล่อยอารมณ์และความคิดออกมา สิ่งถัดมาคือการยอมรับ หลายคนก็คงไม่อยากบอกว่า ฉันกำลังอิจฉาเธอ เพราะฟังแล้วมันไม่ดี แต่อารมณ์มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา มันมีขึ้นลง เราก็ค่อยหาวิธีจัดการกับมัน

ความรู้สึกมันเป็นของเรา เรารู้สึกได้ และเราก็ค่อยๆ หาวิธีระบายความรู้สึก และการอยู่ร่วมกับความรู้สึกนั้นในแบบของเรา

การบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง เป็นขั้นแรกของการสื่อสารกับตัวเอง พอเราชัดเจนว่าเรารู้สึกยังไงแล้ว เราก็ตัดสินตัวเองให้น้อย มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ เพราะว่าเราโตมาในสังคมที่เต็มไปด้วยการตัดสิน แต่การตัดสินก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราตัดสินตัวเองให้น้อยลง เราจะผ่อนคลายมากขึ้น มันคือกระบวนการพูดคุยกับตัวเอง ทบทวนกับตัวเองในสิ่งที่เกิดขึ้น 

การได้พูดคุยกับแพร์ ทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเองหลายอย่างมากๆ ทำให้เราได้กลับมาทบทวนและพูดคุยกับตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ แพร์ วิลาวัณย์ ทำงานเป็นนักจิตบำบัด ประจำศูนย์ CBT ดีต่อใจ และ Empathy Sauce และสำหรับใครที่อยากหาเวลาได้อยู่กับตัวเองแบบที่เงียบและสงบที่สุด แพร์บอกว่าตอนนี้กำลังมีโครงการที่ชื่อว่า อวโลกิตะ (Avalokita)  เป็นที่ว่างสำหรับนั่งเงียบๆ และอยู่กับตัวเอง ใครที่อยากลองปลีกวิเวก ทำใจให้สงบ อยู่กับตัวเองจริงๆ ก็สามารถแวะมาได้เลยนะ

เข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ

อวโลกิตะ Avalokita

https://maps.app.goo.gl/U5ZRf4pWGP3UAEMG7

ชัเน 9 อาคารตั้งฮั่วปัก สาทร ซอย 10

เปิดบริการทุกวัน เวลา 17:00น.-21:00น.

3 สิ่งที่สำคัญที่สุด โอปราห์ วิมฟรีย์ บอกว่า “ขอให้ถามตัวเอง 3 สิ่งนี้เสมอนะ”

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']