ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Women's Issues

หญิงสาวหลายสิบคนหายตัวไปหลังจากโบกรถ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ?

highwayoftears

เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศแคนาดา โดยถนนต้นเรื่องนี้มีชื่อว่า “Highway of Tears” หรือทางหลวงแห่งน้ำตาเป็นถนนยาว 725 กิโลเมตร (450 ไมล์) ของทางหลวงหมายเลข 16 ระหว่าง Prince George และ Prince Rupert บริติชโคลัมเบีย ซึ่งมีผู้หญิงมากมายหลายสิบคนได้หายตัวไป บางส่วนพบเจอร่าง แต่ บางส่วนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกัน


บริเวณโดยรอบของทางหลวงแห่งน้ำตามีหมู่บ้านคนพื้นเมืองอยู่ 23 แห่ง ผู้คนแถวนั้นส่วนใหญ่มีฐานะค่อนข้างยากจน บางคนเวลาจะเดินทางไปไหนเลยโบกรถที่ผ่านไปมาหรือที่เรียกว่า hitchhike นั่นเอง

เรื่องราวการหายตัวไปครั้งแรกเริ่มขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม ปี 1969 มีนายพรานไปล่าสัตว์ในป่า และเมื่อเขาเข้าไปในป่าก็พบร่างของหญิงสาวอยู่ในพุ่มไม้ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเหยื่อคือ Gloria Moody อายุ 26 ปี ช่วงก่อนเกิดเหตุเธอกับครอบครัวจัดทริปเที่ยวแถวถนน Highway of Tears ในคืนนั้นเธอและพี่ชายไปเที่ยวที่ Bar แถวนั้น ซึ่งพวกเขาดื่มจนเมา ขณะกลับโรงแรมพี่ชายเดินข้างหน้า Gloria เดินตามด้านหลัง แต่เมื่อเดินไปสักพักก็พบว่าน้องสาวหายตัวไป ตอนนั้นเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยทำให้การคลี่คลายคดีเป็นไปได้ยาก ซึ่งคดีนี้ก็กลายเป็นหนึ่งคดีที่คลี่คลายไม่ได้

1 ปีหลังจากเกิดเหตุกับ Gloria ชาวบ้านคนหนึ่งไปเก็บผลไม้ในป่าแล้วไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น เขาจึงรีบแจ้งตำรวจ และจาการตรวจสอบผู้หญิงคนนี้ชื่อ Micheline Pare มีอายุ 18 ปี ระหว่างการสืบสวนพบว่ามีพยานเป็นหญิง 2 คนกล่าวว่าพวกเธอได้ขับรถผ่านทางหลวงสายนี้ เห็น Micheline ยืนโบกรถ เธอทั้งสองจึงรับเธอขึ้นรถแต่เมื่อออกรถแล้วกลับพบว่าปลายทางอยู่คนละทางพวกเธอจึงให้ Micheline ลงรถ ซึ่งจุดนั้นอยู่ห่างจากจุดที่พบร่าง Micheline ประมาณ 21 กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าหลังจาก Micheline ลงรถแล้ว เธอก็โบกรถคันอื่นต่อ สุดท้ายเนื่องจากเบาะแสน้อย จึงเป็นอีกคดีที่ไม่สามารถคลี่คลายได้เช่นกัน

เวลาผ่านไป 4 ปี หญิงสาวชื่อ Colleen Macmillen อายุ 16 ปี ได้หายตัวไป วันนั้นเธออยากไปบ้านเพื่อนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร เธอใช้วิธีการโบกรถริมถนนทางหลวง และหลังจากที่เธอออกบ้านไป เธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย หนึ่งเดือนต่อมามีคนพบร่างของเธออยู่ในป่าซึ่งจุดนั้นอยู่ห่างจากบ้านของเธอ 46 กิโลเมตร แต่กลับไม่พบแม้แต่รอยนิ้วมือของผู้ต้องสงสัย คดีนี้จึงเป็นคดีที่คลี่คลายไม่ได้เช่นกัน ซึ่งในช่วงหลายปีหลังจากนั้นก็เกิดคดีที่มีลักษณะคล้ายกันอย่างต่อเนื่อง

มีผู้คนจำนวนมากรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนสายนี้และขอให้ตำรวจสืบสวนคดีให้กระจ่าง หลังจากตำรวจโดนกดดันจึงเริ่มตรวจสอบใหม่อย่างเป็นระบบ พวกเขาสืบสวนอยู่หลายปีแต่ก็ยังไม่พบอะไร จนเวลาล่วงเลยไปถึงปี 2005 Nicole Hoar หญิงสาววัย 24 ปี เธอจะเดินทางไปหาพี่สาว ซึ่งก่อนเดินทางเธอก็ได้โทรหาพี่สาวก่อนแต่หลังจากนั้นผ่านไปหลายวัน พี่สาวก็ยังไม่เห็นวี่แววของ Nicole จึงได้ไปแจ้งตำรวจ เมื่อตรวจสอบดูพบว่าระยะทางจากบ้านของ Nicole ห่างจากบ้านของพี่สาว 370 กิโลเมตร ถ้าเธอจะเดินทางไปบ้านพี่สาวจะต้องนั่งรถโดยสารสาธารณะไป แต่ในวันที่ Nicole หายตัวไปไม่พบประวัติการขึ้นรถสาธารณะใดเลย นอกจากนี้ยังมีเบาะแสสำคัญจากพยานคนหนึ่งบอกว่าเคยเห็น Nicole ยืนโบกรถอยู่ และไม่นานก็มีรถยนตร์สีเหลืองจอดรับ และตำรวจยังพบผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งชื่อเลแลนด์ สวิทเซอร์ เนื่องจากมีเบาะแสบ่งชี้ว่าเขาเคยพบ Nicole ซึ่ง 2 วันหลังจากที่ Nicole หายตัวไปเขาได้ถูกตำรวจจับในข้อหาทำร้ายพี่น้องของตัวเอง หลังจากนั้นตำรวจให้เขาเข้าเครื่องจับเท็จแต่สุดท้ายเขาก็ผ่านการทดสอบ ตำรวจจึงตัดเขาออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยชั่วคราว ต่อมาเพื่อที่จะทำการไขคดีที่เกิดขึ้นบนทางหลวงแห่งน้ำตาโดยเฉพาะจึงเกิดเป็นแผนการทำงานชื่อ E-Pana ขึ้นมา ซึ่งตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าเหยื่อมีการเสียชีวิตที่คล้ายคลึงกันคือ ขาดอากาศหายใจ ซึ่งเป็นไปได้ไหมว่าจะเกิดจากคนร้ายคนเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามตำรวจเชื่อว่าคดีทางหลวงแห่งน้ำตานี้มีคนร้ายอยู่หลายคน

ในปี 2006 ทีมสอบสวนได้นำวัตถุพยานของหลายคดีที่เก็บรักษาไว้ นำไปตรวจสอบอีกรอบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยยิ่งขึ้น จนพบกับ DNA ของผู้ชายคนหนึ่งจากเสื้อที่พบในคดีของ Colleen และจากคลังข้อมูลของตำรวจสากลก็พบกับคนร้ายที่มี DNA ตรงกัน ชื่อ Bobby Jack Fowler เขาเป็นคนงานก่อสร้างที่ชอบเดินทางโดยการขับรถยนตร์เก่าคันโปรด ระหว่างนั้นเขาก็ก่ออาชญากรรมไว้อีกเพียบ และโดนเข้าคุก ซึ่งต่อมาภายหลังเขาก็เสียชีวิตภายในเรือนจำจากการเจ็บป่วย

Bobby Jack Fowler และ Colleen

จากการตรวจสอบพบว่าคดีของ Colleen และหญิงสาวอีก 2 ราย เป็นฝีมือของ Bobby แต่ตัวเขาถูกจับกุมตั้งแต่ปี 1995 แต่หลังจากนั้นก็ยังเกิดคดีอยู่ แสดงว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่ Bobby

ต่อมาตำรวจได้เจอกับรถกระบะต้องสงสัย ตำรวจสังเกตเห็นว่าตัวคนขับมีรอยเปื้อนสีแดง นอกจากนี้บนรถยังพบอาวุธ และกระเป๋าเป้ของผู้หญิงที่ด้านในพบบัตรโรงพยาบาลเด็กอยู่ด้วย เมื่อตำรวจตามรอยล้อรถไปก็พบกับร่างของหญิงคนหนึ่งเข้า โดยครั้งนี้เจ้าของรถกระบะชื่อ Cody Legebokoff โดยตำรวจได้นำข้อมูล DNA ของ Cody ไปตรวจสอบและพบว่าเขาเกี่ยวข้องกับคดีอื่นๆ บนทางหลวงแห่งน้ำตาด้วย ซึ่งเขาถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

ในปี 2015 เรื่องราวก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Highway Of Tears อีกด้วย


สามารถอ่านบทความอื่นๆของ CLEO ที่:

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']