สังเกตคำตอบของสเปคหนุ่มๆ ทุกวันนี้เขาจะแพ้ทางให้ผู้หญิงที่ทำให้เขาหัวเราะได้ และสังเกตดูอีกสิว่าในออฟฟิศใครที่เป็นสายฮา ส่วนใหญ่จะได้รับการเอ็นดู มีแต่คนช่วยเหลือ ไปงานเลี้ยงที่ไหนก็มีแต่คนปัดเก้าอี้ไว้รอ เพราะคนพวกนี้เขาจะสร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง ซึ่งการเป็นคนตลกเนี่ยไม่ได้เกิดมาแล้วทำได้เลยนะ ต้องสั่งสมประสบการณ์จนรู้จังหวะ เอาเป็นว่าอินโทรเวิร์ทก็เป็นคนขำๆ ได้ ถ้าแค่ได้ลอง…
จากการศึกษาในหนังสือ The Power of Fun ที่เขียนโดยแคทเธอรีน พรินซ์ อธิบายเอาไว้ว่าคนที่ตลกจะมีความสามารถในการด้นมุขสดๆ ออกมาได้จากเหตุการณ์ตรงหน้า เป็นคนที่มีนิสัยเข้ากับคนอื่นง่าย ไม่กลัวที่จะแป้ก กล้าลองอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ เพราะเขาสามารถมองโลกอย่างตลกร้าย รู้ว่าความสนุกทำให้ชีวิตเคลื่อนไปข้างหน้า ดังนั้นเวลาอยู่กับคนขำๆ เราจะรู้สึกสดชื่นกับการเป็นตัวของตัวเองได้ไม่ต้องแอ๊บ เวลามีเรื่องอะไรมาเล่าคนที่ตลกก็จะอินไปด้วย ดังนั้นไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมถึงจะตลก บางคนเป็นอินโทรเวิร์ทเงียบๆ แต่พูดอะไรออกมาที หัวเราะอุจจาระแตกกันได้เลย
เพราะการสร้างนิสัยให้เป็นคนสนุกก็จะดึงดูดแต่อะไรมันส์ๆ เข้ามาได้ด้วย แปลว่าเมื่อไหร่ที่เราอยากบิ้วด์บรรยากาศให้ครื้นเครง เราพยายามมองหาโอกาสที่จะสร้างความสดใส เชื่อมโยงกับคนอื่นและต้องมีโฟลว์ที่ไปได้ไม่สะดุดด้วยวิธีต่อไปนี้
1.เป็นคนหัวเราะกับอะไรง่ายๆ
ก็ไม่ถึงขนาดเห็นใบไม้ปลิวแล้วขำ แต่แค่เป็นคนที่ดื่มด่ำกับสิ่งรอบข้างเพื่อจะหาโมเมนท์ให้หัวเราะได้ไม่ยาก บางทีอยู่ในการประชุมที่ซีเรียส แต่เราสามารถจับความแปลกที่เกิดขึ้นเอามาเล่าต่อให้มีสีสัน ยิ่งอะไรที่เราว่าตรรกะอันนี้ผิดนะ เราจะเอามาเสียดสีกับชีวิตได้ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น คอมเมนท์สังคมบ้านเมืองหรือข่าวตามโซเชียลมีเดีย คนไทยเป็นคนตลก นั่งอ่านคนเดียวแล้วหัวเราะดังมาก
2. ต่อบทสนทนาคนอื่นไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอทางยิงมุขในแบบของเรา
เหมือนกับว่าถ้าเพื่อนเดินเข้ามาแล้วบอกว่า “วันนี้ร้อนเนอะ” แทนที่เราจะ “อืม” แล้วจบไป ลองเสริมดีกรีจากสิ่งที่เพื่อนพูด “ใช่ๆ นี่คิดอยู่ว่าใครมาเร่งไฟในกระทะทองแดงเหมือนกัน” หรือพูดอะไรติดตลกว่า “จะใส่บิกินี่มาก็เกรงใจพี่หัวหน้าอยู่” บางทีอาจไม่ต้องขำมาก แต่ถ้ารู้ว่าเรามีเซนส์ของความเป็นคนพูดเล่นบ้าง การทำงานก็ดูไม่เครียดเกินไป
3. ส่งสัญญาณความเป็นคนขี้เล่นด้วยท่าทาง
คุณแคทเธอรีนที่เขียนหนังสือเล่าว่าอย่างน้องหมาเราจะรู้ได้ยังไงว่าเริ่มจะชวนเล่นแล้ว มันจะยืดขาหน้าหมอบๆ หัวโยกไปมา ท่าทางลุกลี้ลุกลน กระดิกหางเร็วๆ สำหรับคนจะใช้การสบสายตา ยิ้มๆ มุมปาก หรือเราคอมเมนท์อะไรประชดสังคมออกไป ลองเชิงว่าอีกฝ่ายมีท่าทีจำเก็ตมุขด้วยหรือเปล่า ถ้าคลิกก็คุยกันถูกคอเลย แต่ก่อนจะเล่นอะไรอย่างนี้อย่าลืมการเชื่อมโยงกับคนอื่นด้วยนะว่าเขาอยากเล่นด้วยมั้ย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนไม่มีกาลเทศะได้
4. กล้าที่จะเปิดใจคุยกับคนแปลกหน้า
เมื่อก่อนตอนเพิ่งเข้าวัยรุ่นจะไม่คุยกับคนไม่รู้จักเลย เหนียมอายตลอด แต่พอเข้าวัย 30-40 เมื่อไหร่ คนที่อยู่ข้างๆ คือเพื่อนของเราเสมอ ความอายหายไป ทำให้เราเป็นคนคุยสนุกและรู้เลยว่าตลกขึ้น เราไม่กลัวที่จะหันไปหัวเราะกับเรื่องขำๆ สร้างมิตรกับคนรอบข้าง เก็บเรื่องราวเอามาเล่า เหมือนพี่โน้ตอุดม แต่ละเรื่องที่เล่าในเดี่ยวก็มาจากการสังเกตแล้วเอามาใส่จังหวะการเล่าที่ลงตัวมาก ถ้าดูดีๆ ลองเอามาฝึก เพื่อนก็สามารถขำหนักมากกับสิ่งที่เราเอามาเล่าเหมือนกันนะ