ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Self Love, Uncategorized

8 สเต็ป Manifest ให้ได้สิ่งที่เราต้องการ! ประกาศต่อจักรวาลดังๆ ชัดเจนให้มากที่สุด!

8 Steps of Manifestation

“เรามีชีวิตที่เราต้องการได้” ถ้าเรา Manifest ให้เป็น เราจะไขความลับของจักรวาล และขอให้จักรวาลส่งสิ่งที่เราต้องการมาให้ได้เลย

คลีโอเชื่อเรื่อง Manifest มาตลอด รู้สึกเลยว่าแค่ประกาศต่อจักรวาลดังๆ ชอในสิ่งที่อยากได้ โฟกัสและชัดเจน จักรวาลจะเริ่มทำงานขับเคลื่อนและถ้าเชื่อต่อ ขยี้เข้าไป คราวนี้จักรวาลจะเริ่มทำงาน อยู่ดีๆ ส่งภาพฝันที่เราไม่เคยคิดจะได้ ส่งมาให้ต่อหน้า หลายๆ คนที่ได้ลองทำ Manifestation จริงจัง เห็นผลมาแล้ว บางคนบอกว่า “เคย manifest อยากมีความรักดีๆ อยากเจอคนที่รักเรา ในวันที่ไม่มีทางจะได้เจอ หรือหมดความเชื่อเรื่องความรักไปแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็เข้ามาจริงๆ”

ขอให้ทุกคน Manifest สำเร็จ ได้สิ่งที่อยากได้ เปลี่ยนอะไรที่ชืดชาให้สว่างสไวขึ้น จุดประกายชีวิตให้เรา แล้วเดินหน้ารับพรของจักรวาลรัวๆ เลยนะ กับวิธีสุดเวิร์คที่เจ้าแม่ เจ้าพ่อ Manifestation ดังๆ ของโลกเขาเฟิร์มมาแล้วว่าทำเถอะ เกิดผลจริงแน่นอน!!

Manifestation ที่ดังมากๆ จะรู้จักกันในนาม The Laws of Attraction หรือกฎแห่งการดึงดูด หนังสือตัวแม่ที่เราคุ้นๆ กันก็คือ The Secret ที่ขายไปได้ 30 ล้านเล่ม และหลังจากนั้นก็มีนักพูด นักเขียนชื่อดังอีกหลายคนออกมาเล่าเรื่อง Manifestation นี้ ทั้งโอปราห์ วิมฟรีย์ ดีพัค โชปรา เอ็คฮาร์ต โทลล์ หรือหนังสือดังอย่างเรื่อง Manifestation Change ที่เขียนโดย Mike Dooley ก็สร้างความหวังให้กับคนทั้งโลกมาแล้ว

แต่ๆๆๆ เราต้องระลึกไว้ก่อนเลยนะ ว่าการ Manifest น่ะ ไม่ได้มาแค่ชั่วข้ามคืน Manifest คือการเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีขั้นตอนต่างๆ อย่าหวังว่าจะเกิดในทันที แต่บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็น 3 ปี 5 ปี หรือ 20 ปี Manifestation คุ้มกับชีวิตเสมอ แต่อเราอาจต้องเสียอะไรบางอย่างไประหว่างทางเพื่อให้ได้มา แต่เมื่อได้มาแล้วน่ะ เราจะเหมือนเจอปาฏิหาริย์กับตัวเองเลย โอปราห์บอกว่า “Manifest คือการมีภาพในหัวสำหรับอนาคตที่ชัด เพื่อให้เราได้โฟกัสและเคลียร์ความชัดเจนให้ตัวเอง เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้านั่นเอง” สิ่งสำคัญคือ “เราเป็นคนควบคุมความคิดตัวเราเองได้” โอปราห์บอกว่าเมื่อเธอเริ่มค้นพบหลักการ Manifest เธอก็จะตื่นเต้นกับตัวเองว่า “ฉัน Manifest อะไรได้บ้าง ฉันเห็นผลของมันมาแล้ว คราวนี้ฉันอยากรู้เลยว่าฉันจะ Manifest ได้อีกครั้งๆ และอีกครั้งมั้ย”

ลองดูสเต็ปในการ Manifest นี้จากเรานะ

8 สเต็ป Manifest

อะไรคือ Manifestation?

เพื่อให้เข้าใจกันอีกนิดว่า Manifestation คืออะไร บอกเลยว่าคือ “การทำสิ่งที่เป็นไปได้ จับต้องได้ให้เกิดขึ้นมาในชีวิตและความเชื่อของเรา ถ้าเราเชื่อ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น “ “Manifestation คือการทำให้ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้สึก อยากมีในความเป็นจริงเกิดขึ้น ผ่านความคิด การกระทำ ความเชื่อ และอารมณ์ของคุณ”

เพระฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Manifestation เกิดขึ้นก็คือ….

Step 1: เคลียร์กับตัวเองว่า “คุณต้องการอะไรที่สุด?”

สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดในการ Manifestation ก็คือการค้นให้เจอว่า “คุณต้องการอะไรจริงๆ” เพราะ “คุณคือคนที่ฝันในสิ่งที่คุรฝัน ไม่ว่าจะเป็นมีแฟนใหม่ มีความสัมพันธ์ที่เฮลธ์ตี้ มีงานที่ดีขึ้น คุณต้องรู้ให้ได้ว่าอยากได้อะไร และคุณสมควรที่จะได้รับมัน”

ตรงนี้ล่ะที่ต้องลงดีเทลกับสิ่งที่อยากได้ให้ชัดด้วย แทนที่จะรู้แค่ว่า “ฉันอยากได้แฟนใหม่” แต่ต้องรู้ด้วยว่าแฟนใหม่คนนั้นเขาเป็นคนยังไง มีคุณสมบัติ มีแนวคิด มีค่านิยมยังไง คุณต้องบอกให้ได้อย่างชัดที่สุด เพราะถ้าผิดปั๊บจักรวาลก็จะลงไปที่คนผิดทันทีเลย แล้วรู้ไว้ด้วยว่าเสียงของคุณจักรวาลรับรู้เลยนะ ทุกคำขอของคุณจักรวาลฟังอยู่ มันมีกงล้อของจักรวาลที่รอคำขอของคุณ จัดให้ตัวเองเลยว่า “คุณอยากได้อะไรในที่สุดของชีวิต?”

Step 2: เมื่อรู้สิ่งที่ต้องการแล้ว ขอจักรวาล และเขียนลงไปบนกระดาษ

เพื่อให้ชัดเข้าไปอีก ให้เขียนทุกความหวัง ความฝัน จุดมุ่งหมายที่อยากได้ให้ดีเทลลงบนกระดาษ และให้คำขอเหล่านี้ฝังชิพในจิตใจ ในหัวของเรา ให้อยู่ในคำขอ จิตที่สงบในสมาธิ

  • หลักการคือให้ระลึกถึงคำขอนี้ในตอนเช้าวันละ 3 ครั้ง
  • ตอนบ่าย 6 ครั้ง และ ตอนเย็น 9 ครั้ง
  • ทำไปทั้งหมด 33 วันหรือ 45 วัน
  • สิ่งนี้คือการเขียนจดหมายถึงจักรวาลที่ง่ายที่สุด และไม่ต้องเสียเงินใดๆ

Step 3: เริ่มเวิร์คให้เกิดการกระทำที่เป็นรูปเป็นร่าง ไปสู่สิ่งที่เราอยากได้

แกเบรียล เบิร์นสไตน์ ผู้เขียนเรื่อง Super Attractor และ The Universe Has Your Back บอกว่า “Manifestation คือการที่เราให้จักรวาลทำงานไปกับเรา สิ่งที่เราขอจะเดินทางมาแล้วครึ่งหนึ่ง แต่จะไม่เห็นผลใดๆ เลยถ้าเราไม่ลุกขึ้นไปทำด้วย” แกเบรียลให้เราหาเวลาเพื่อสร้างผลของการกระทำให้เกิด สร้างมันให้เป็นรูทีนชีวิต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ และควรเชื่อมโยงกับบุคคลที่จะเกี่ยวข้องเอาไว้ด้วย แอ็คชั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก ปักหมุดไว้เลยว่าเราต้องทำอะไรบ้าง แล้วทำให้ได้สม่ำเสมอในทุกวันนั่นล่ะ

อีกสิ่งที่ควรนำมาใช้ระหว่างเกิดการกระทำก็คือ “ให้จินตนาการตัวเราเมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการไว้ด้วย” ให้นึกภาพว่าเราจะเป็นยังไง รู้สึกยังไง รู้สึกถึงความฝันนั้น จุดมุ่งหมายนั้น มันเหมือนการเฟรมจิตเราให้เห็นภาพตรงชัดที่สุด

Step 4: ระลึกไว้ว่าสิ่งที่เราจะได้รับ อาจมาในชั้นตอนการได้รับที่เราคาดไม่ถึง

Mike Dooley นักเชียนเรื่อง Manifesting Change บอกว่า “ระหว่างทางของการ Manifest อาจไม่มีอะไรที่คุณรู้สึกคุ้นเคยเลยนะ ให้คงเชื่อและ Manifest ต่อไป” ไมค์บอกว่าสิ่งที่เราจะได้รับ อาจมาในรูปแบบที่แปลกๆ และคาดไม่ถึง เราไม่มีทางรู้เลยว่าการนั่งคุยกับใครบนเครื่องบินเพียงไม่กี่นาที ที่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาคนนั้นจะนำพาคนที่เป็นคู่แท้มาให้เรา หรือ คนที่เราอาจแค่ก้มเก็บของที่เขาทำตกไว้ อาจจะต่อยอดไปเป็นคนให้โอกาสในงานของเรา

“ทุกๆ วันคุณกำลังเข้าใกล้ความฝันขึ้นเรื่อยๆ จักรวาลกำลังจัดวางความบังเอิญอันโชคดีให้คุณอยู่” ไมค์บอกอีกว่าอย่าคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ กงล้อของชีวิตเริ่มหมุนเมื่อคุณได้ขอจากจักรวาลแล้ว

8 สเต็ป Manifest

Step 5: ขอบคุณในทุกสิ่งที่ได้รับ

ในขณะที่คุณกำลังรู้สึกว่าทำไมยังไม่เห็นผลของคำขอสักที ไม่ว่าคำขอจะเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่เราควรสร้างอีกอย่างคือ “สร้างคำขอบคุณรอไว้เลย” ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ก็ขอบคุณจักรวาลไว้ก่อน ดักทางเอาไว้ เพื่อให้จิตใจเราโพสิทีฟที่สุด ก็ระลึกถึงจักรวาลและนึกขอบคุณสิ่งที่กำลังจะได้รับเอาไว้นั่นล่ะ

Step 6: เอาความคิดที่ต่อต้านความเชื่อตัวเองเอาไว้

เพื่อที่จะมีแอตติจูดที่บวกที่สุด เพื่อให้คำขอเป็นจริงที่สุด เราควรตัดทุกความเชื่อที่ต่อต้านคำขอเราออกไป ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเนกาทีฟ อะไรที่จะมาขวางตัดออกไปให้หมด โอปราห์บอกว่า “การที่เราบอกตัวเองว่าเราไม่ดีพอ เราไม่มีค่าพอ เราฉลาดไม่พอ มันเหมือนเทปที่เปิดวนๆ ถ้าคุณไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้ บอกเลยว่ามันจะไปเปลี่ยนระบบความเชื่อของคุณ และไปทำลายสิ่งที่จริงแท้ที่สุดของคุณ คุณจะไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ เพราะคุณไม่เชื่อว่าจะได้ ทุกอย่างก็จะดูล่องลอยไปเลยสำหรับคุณ”

สำคัญมากในการ Manifest ก็คือคุณต้องถามตัวเองว่า “อะไรที่เป็นชุดความเชื่อของฉัน ที่อาจทำให้ฉันไม่สามารถ Manifest สิ่งที่อยากได้สำเร็จ” คิดให้ตรงชัดไว้ และเอาชุดความเชื่อใหม่ใส่แทนเข้าไป เช่น ถ้าเราเชื่อว่า “เราคงไม่ดีพอ” ก็ให้เปลี่ยนเป็น “ฉันเริ่ดในแบบฉันนี่ล่ะ” อะไรแบบนี้

Step 7: เช็คพลังงานของคุณไว้เสมอ

โอปราห์บอกว่า สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจมากๆ ก็คือ “พลังงานที่เราส่งออกไปในโลก ก็คือพลังงานที่เราจะได้รับกลับมา” จะเปลี่ยนพลังงานของคุณเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ มากๆ ลองหากิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข เรื่องเรียบง่ายที่เรายิ้มได้ แค่แหงนมองฟ้า มองดูเด็กๆ เล่น หรือทำสมาธิตอนเช้าๆ ออกกำลังกับเพื่อนให้สนุก แค่นี้พลังงานก็เปลี่ยนได้แล้ว คุณควรเช็คพลังงานตัวเองให้ดีไว้ตลอด “ถ้าใจใส คุณก็จะยิ่งส่งที่ชัดเจนและใสที่สุดออกไปให้จักรวาลรับรู้ได้ดีขึ้นเท่านั้น”

Step 8: ยืดหยุ่นเอาไว้ ขอให้เชื่อในกระบวนการทำงานของจักรวาล

อย่าพยายามเร่งการทำงานของจักรวาล แล้วก็อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเกินไป “ไว้ใจจักรวาลเถอะ” ไม่ต้องกังขาใดๆ แล้วเรื่องนี้ก็คำนวณออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ แมจิกของชีวิตคือสิ่งที่คุณอยากได้ จะตกลงมาถึงตัวคุณแบบไม่ทันคาดคิด และไม่รู้ตัวเสมอ คุณจะรู้ได้ก็ตอนได้รับสิ่งนั้นแล้วนั่นล่ะ

“จำไว้เลยว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการ Manifestation ของคุณ ก็คือตัวคุณเองนั่นล่ะ!”

ขอให้โชคดีและได้รับพรจากจักรวาลกันนะ

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ต่อได้ที่ ขออะไรก็ได้กับจักรวาล

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']