ฉันไม่โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคน “มองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น”

ฉันไม่ได้โชคดีแบบนั้น ฉันไม่ได้โชคดีพอที่จะมีผู้ชายสักคนมองเห็นฉันในแบบที่ฉันเป็น มองเห็นความเจ็บปวดของฉัน และอยากฉุดฉันขึ้นไป ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่ฉันจะบอกตัวเองได้ดีไปกว่า “ยอมรับความจริงเถอะ” ทุกครั้งเวลาที่ฉันเห็นใครๆ เขารักกัน ความหวังในใจ ความเพ้อทุกครั้งที่กดแอปสีดำแดงเพื่อเลือกซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ โจทย์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องเป็นเรื่องที่ฉันสามารถสมมุติตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องได้ แล้วจินตนาการต่อว่า บางทีฉันอาจจะเจอผู้ชายในชีวิตจริง ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่อง หนังสือฮาวทูบอกว่า ให้คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบไหน ลิสต์ออกมาให้เยอะที่สุด แล้วตัดออกให้เหลือสัก 10 ข้อว่านั่นคือคุณสมบัติผู้ชายที่อยากได้ ฉันลองทำและกุมลิสท์นั้นไว้แน่นในกระเป๋าสตางค์ เอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ด้วย บางทีที่เขาบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์จะมอบพลังงานของความรักดูดใครให้เข้ามาในชีวิต ฉันจะเอาลิสท์นั้น ออกไปหาแสงจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วนึกถึงเขา แน่นอนว่าฉันมีความเชื่อ ยังคงเชื่อ และก็จะเชื่อต่อไป เรื่องราวในโทรศัพท์กับเพื่อนสาว เราจะวนเวียนกันที่ซีรีย์ที่เพิ่งดู กรี๊ดพระเอก อยากบินไปเกาหลี แล้วเราก็จะกลับมาที่เรื่องของเรากัน ทำไมเพื่อนคนนั้นได้แฟนดีจัง แฟนเขาพาไปเมืองนอกบ่อยมากเลย เขาไปทริปกันอีกแล้ว ฉันกับเพื่อนก็ได้แต่พยายามหาเรื่องเน่าๆ ในเรื่องรักของคนอื่น “แต่พวกเขาอาจมีอะไรไม่แฮปปี้ก็ได้นะ พวกเราไม่มีทางรู้หรอก” มันคงเป็นคำปลอบใจที่เราบ่นให้กันฟัง แต่ฉันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิตอยู่ดี “ที่เธอเหนื่อยเพราะไม่มีคนรักหรือเปล่า?” ประโยคจากเรื่อง My Liberation Notes หัวหน้าของพี่สาวนางเอกถามขึ้นมา หลังจากที่เธอมาทำงานแล้วบ่นว่าเหนื่อยๆๆๆๆ ทำไมชีวิตฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้ […]

คุณหมอสา-Guardian Diamond พี่สาวที่เปิดประตูลับ ช่วยเคลียร์พลังงานลบให้คุณพบความสำเร็จ

ตั้งแต่เข้าปี 2024 ที่ผ่านมา คลีโอขอบอกว่านี่เป็นการสัมภาษณ์ที่เบิกเนตรให้เรารู้สึกมีความหวังและกำลังใจ รู้สึกว่าจักรวาลมอบของล้ำค่าเอาไว้ให้เราเสมอ เป็นเรื่องไม่บังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกับคุณหมอสา หรือหลายคนรู้จักเธอในชื่อ Doctor Diamond กับฉายาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพชรที่ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แต่เป็นผู้ที่ช่วยเยียวยาให้ความรู้กับคนที่สนใจเรื่องเพชร รวมทั้งก้าวเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตด้วยพลังของ “เพชรดิบ” ที่ค้นพบพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้จนกลายมาเป็นแบรนด์ Guardian Diamond ที่สายมูบอกว่ามาลองแล้วขนลุกซู่ทุกคน ลูกสาวครอบครัวคนจีนที่ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก “ตอนเด็กไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร พ่อแม่อยากให้เรียนที่เอแบค เพราะเห็นว่าเราภาษาดีมาตั้งแต่เด็ก เราไม่มีฝันเลย เป็นเจเนอเรชั่นที่ที่บ้านเป็นคนจีน ดังนั้นก็จะมีบอกแค่ว่าต้องมาช่วยพ่อแม่นะ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทําไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีความคิดอื่นเลย ที่บ้านทำธุรกิจขายเพขร เรียนจบมาให้ไปเรียนดูเพชรนะ เราก็ไป ซึ่งเรียนดูเพชรของสถาบัน GIA ซึ่งตอนนั้นมีสาขาในประเทศไทย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในยุค IMF ค่ะนานมากแล้ว” “คุณพ่อคุณแม่พยายามหนักมากในการส่งเราเรียนนะคะ จําได้เลยว่าแม่ให้เราเดินเข้าไปถามแล้วขอตีเช็ค 4 ใบจ่ายค่าเทอมได้ไหม ช่วงนั้นเราก็รู้เลยว่าชีวิตไม่ได้ง่าย ต้องเรียนให้จบกลับไปช่วยเขา เพราะแม่ก็จะพูดตลอด ตาแม่ก็เริ่มไปแล้วนะ เหมือนเขามาเปิดร้านตอนประมาณ 40 กว่าแล้ว ดังนั้นจะให้เค้าดูเพชรไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เราเริ่มทําทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ํา เช็ดตู้ วิ่งงาน บางทีมีงานช่าง เราก็ขับรถออกไปเอง เดินส่งของส่งงาน แม่จะเหน็บเราไปด้วย […]

5 วัดปังในฮ่องกง ขออะไรเทพให้รัวๆ

“เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ประสบความสำเร็จยาก” คำพูดนี้ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันเป็นยุคที่วัยรุ่นกำลังสร้างตัว หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจบางคนบอกว่าเกิดจากความสามารถของตัวเอง แต่หลายๆคนเปิดเผยความลับว่าส่วนหนึ่งมาจากการมูในสถานที่ที่มีพลังงานประกอบกับพิธีกรรมที่ถูกต้องทำให้มีทั้งพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกำลังใจในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

“อกหัก” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่เกิดกับฉัน ฉันเลิกโกหกตัวเองสักที

เราอย่าเพิ่งกลัวการอกหัก หรือการเลิกกับใครนะ เพราะเหตุการณ์จี๊ดในหัวใจนี้ จะนำพาคุณไปเจอตัวเอง เจอสิ่งใหม่ เจอโอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย เหมือนกับที่ เอมม่า กิบบ์ส นักเขียนและโปรดิวเซอร์รายการทีวีของออสเตรเลียเจอมา เธอเอาสิ่งนี้มาพูดในเท็ด ทอล์ค หมัดฮุคเลยคือเธอบอกว่า “อกหักไม่เพียงแต่จะทำให้เธอเห็นหัวใจตัวเอง ยังทำให้เธอเลิกโกหกตัวเอง และก็เลยเลิกโกหกทุกสิ่ง เรื่องดีๆ ในชีวิตเลยสาดเข้ามาเต็มๆ เลย” เอมม่าเล่าว่า…. ชีวิตฉันเหมือนจะดีนะ ฉันได้ทำงานที่ฝัน อยู่ในเมืองที่ดี “แต่ฉันกลับไม่มีความสุข ฉันโกหกตัวเองทุกวันว่า เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ” ฉันใช้ชีวิตไป 3 ปีเต็มที่โกหกตัวเอง และบอกตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นไปตามแพลนแล้วนะ ในขณะที่หัวใจฉันบอกว่า “เฮ้! เธอมีปัญหาแล้วล่ะ” ฉันใส่เสียงนี้เอาไว้ในตู้ และเอาความคิดควบคุมมันเอาไว้ ฉันคิดว่าถ้าฉันพยายามมากพอจะทำให้ทุกสิ่งเวิร์ค มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ ทั้งกาย อารมณ์ จิตวิญญาณของฉันมันเหือดแห้งมาก ฉันกลายมาเป็นคนที่ขึ้นอยู่กับแผนในชีวิต ฉันไม่ไปเจอเพื่อน ไม่ไปเที่ยวไหน ไม่เจอครอบครัว ไม่เจอใครใหม่ๆ และฉันไม่อยากทำงานกับแพชชั่นของตัวเอง ฉันมัวแต่หาทางซ่อมสิ่งที่ไม่ใช่ของชีวิตฉัน ความตลกก็คือในขณะที่คุณกำลังพยายามทำให้แผนชีวิตของคุณเวิร์ค แล้วคุณก็ต้องฝืดมากๆ นั่นน่ะ คุณเริ่มจะคิดแล้วว่า “แล้วทำไมฉันต้องมีแผนนั้นตั้งแต่แรกนะ” ฉันเริ่มลืมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นนักเขียน […]




Self Love, Uncategorized

8 สเต็ป Manifest ให้ได้สิ่งที่เราต้องการ! ประกาศต่อจักรวาลดังๆ ชัดเจนให้มากที่สุด!

8 Steps of Manifestation

“เรามีชีวิตที่เราต้องการได้” ถ้าเรา Manifest ให้เป็น เราจะไขความลับของจักรวาล และขอให้จักรวาลส่งสิ่งที่เราต้องการมาให้ได้เลย

คลีโอเชื่อเรื่อง Manifest มาตลอด รู้สึกเลยว่าแค่ประกาศต่อจักรวาลดังๆ ชอในสิ่งที่อยากได้ โฟกัสและชัดเจน จักรวาลจะเริ่มทำงานขับเคลื่อนและถ้าเชื่อต่อ ขยี้เข้าไป คราวนี้จักรวาลจะเริ่มทำงาน อยู่ดีๆ ส่งภาพฝันที่เราไม่เคยคิดจะได้ ส่งมาให้ต่อหน้า หลายๆ คนที่ได้ลองทำ Manifestation จริงจัง เห็นผลมาแล้ว บางคนบอกว่า “เคย manifest อยากมีความรักดีๆ อยากเจอคนที่รักเรา ในวันที่ไม่มีทางจะได้เจอ หรือหมดความเชื่อเรื่องความรักไปแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็เข้ามาจริงๆ”

ขอให้ทุกคน Manifest สำเร็จ ได้สิ่งที่อยากได้ เปลี่ยนอะไรที่ชืดชาให้สว่างสไวขึ้น จุดประกายชีวิตให้เรา แล้วเดินหน้ารับพรของจักรวาลรัวๆ เลยนะ กับวิธีสุดเวิร์คที่เจ้าแม่ เจ้าพ่อ Manifestation ดังๆ ของโลกเขาเฟิร์มมาแล้วว่าทำเถอะ เกิดผลจริงแน่นอน!!

Manifestation ที่ดังมากๆ จะรู้จักกันในนาม The Laws of Attraction หรือกฎแห่งการดึงดูด หนังสือตัวแม่ที่เราคุ้นๆ กันก็คือ The Secret ที่ขายไปได้ 30 ล้านเล่ม และหลังจากนั้นก็มีนักพูด นักเขียนชื่อดังอีกหลายคนออกมาเล่าเรื่อง Manifestation นี้ ทั้งโอปราห์ วิมฟรีย์ ดีพัค โชปรา เอ็คฮาร์ต โทลล์ หรือหนังสือดังอย่างเรื่อง Manifestation Change ที่เขียนโดย Mike Dooley ก็สร้างความหวังให้กับคนทั้งโลกมาแล้ว

แต่ๆๆๆ เราต้องระลึกไว้ก่อนเลยนะ ว่าการ Manifest น่ะ ไม่ได้มาแค่ชั่วข้ามคืน Manifest คือการเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีขั้นตอนต่างๆ อย่าหวังว่าจะเกิดในทันที แต่บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็น 3 ปี 5 ปี หรือ 20 ปี Manifestation คุ้มกับชีวิตเสมอ แต่อเราอาจต้องเสียอะไรบางอย่างไประหว่างทางเพื่อให้ได้มา แต่เมื่อได้มาแล้วน่ะ เราจะเหมือนเจอปาฏิหาริย์กับตัวเองเลย โอปราห์บอกว่า “Manifest คือการมีภาพในหัวสำหรับอนาคตที่ชัด เพื่อให้เราได้โฟกัสและเคลียร์ความชัดเจนให้ตัวเอง เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้านั่นเอง” สิ่งสำคัญคือ “เราเป็นคนควบคุมความคิดตัวเราเองได้” โอปราห์บอกว่าเมื่อเธอเริ่มค้นพบหลักการ Manifest เธอก็จะตื่นเต้นกับตัวเองว่า “ฉัน Manifest อะไรได้บ้าง ฉันเห็นผลของมันมาแล้ว คราวนี้ฉันอยากรู้เลยว่าฉันจะ Manifest ได้อีกครั้งๆ และอีกครั้งมั้ย”

ลองดูสเต็ปในการ Manifest นี้จากเรานะ

8 สเต็ป Manifest

อะไรคือ Manifestation?

เพื่อให้เข้าใจกันอีกนิดว่า Manifestation คืออะไร บอกเลยว่าคือ “การทำสิ่งที่เป็นไปได้ จับต้องได้ให้เกิดขึ้นมาในชีวิตและความเชื่อของเรา ถ้าเราเชื่อ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น “ “Manifestation คือการทำให้ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้สึก อยากมีในความเป็นจริงเกิดขึ้น ผ่านความคิด การกระทำ ความเชื่อ และอารมณ์ของคุณ”

เพระฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Manifestation เกิดขึ้นก็คือ….

Step 1: เคลียร์กับตัวเองว่า “คุณต้องการอะไรที่สุด?”

สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดในการ Manifestation ก็คือการค้นให้เจอว่า “คุณต้องการอะไรจริงๆ” เพราะ “คุณคือคนที่ฝันในสิ่งที่คุรฝัน ไม่ว่าจะเป็นมีแฟนใหม่ มีความสัมพันธ์ที่เฮลธ์ตี้ มีงานที่ดีขึ้น คุณต้องรู้ให้ได้ว่าอยากได้อะไร และคุณสมควรที่จะได้รับมัน”

ตรงนี้ล่ะที่ต้องลงดีเทลกับสิ่งที่อยากได้ให้ชัดด้วย แทนที่จะรู้แค่ว่า “ฉันอยากได้แฟนใหม่” แต่ต้องรู้ด้วยว่าแฟนใหม่คนนั้นเขาเป็นคนยังไง มีคุณสมบัติ มีแนวคิด มีค่านิยมยังไง คุณต้องบอกให้ได้อย่างชัดที่สุด เพราะถ้าผิดปั๊บจักรวาลก็จะลงไปที่คนผิดทันทีเลย แล้วรู้ไว้ด้วยว่าเสียงของคุณจักรวาลรับรู้เลยนะ ทุกคำขอของคุณจักรวาลฟังอยู่ มันมีกงล้อของจักรวาลที่รอคำขอของคุณ จัดให้ตัวเองเลยว่า “คุณอยากได้อะไรในที่สุดของชีวิต?”

Step 2: เมื่อรู้สิ่งที่ต้องการแล้ว ขอจักรวาล และเขียนลงไปบนกระดาษ

เพื่อให้ชัดเข้าไปอีก ให้เขียนทุกความหวัง ความฝัน จุดมุ่งหมายที่อยากได้ให้ดีเทลลงบนกระดาษ และให้คำขอเหล่านี้ฝังชิพในจิตใจ ในหัวของเรา ให้อยู่ในคำขอ จิตที่สงบในสมาธิ

  • หลักการคือให้ระลึกถึงคำขอนี้ในตอนเช้าวันละ 3 ครั้ง
  • ตอนบ่าย 6 ครั้ง และ ตอนเย็น 9 ครั้ง
  • ทำไปทั้งหมด 33 วันหรือ 45 วัน
  • สิ่งนี้คือการเขียนจดหมายถึงจักรวาลที่ง่ายที่สุด และไม่ต้องเสียเงินใดๆ

Step 3: เริ่มเวิร์คให้เกิดการกระทำที่เป็นรูปเป็นร่าง ไปสู่สิ่งที่เราอยากได้

แกเบรียล เบิร์นสไตน์ ผู้เขียนเรื่อง Super Attractor และ The Universe Has Your Back บอกว่า “Manifestation คือการที่เราให้จักรวาลทำงานไปกับเรา สิ่งที่เราขอจะเดินทางมาแล้วครึ่งหนึ่ง แต่จะไม่เห็นผลใดๆ เลยถ้าเราไม่ลุกขึ้นไปทำด้วย” แกเบรียลให้เราหาเวลาเพื่อสร้างผลของการกระทำให้เกิด สร้างมันให้เป็นรูทีนชีวิต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ และควรเชื่อมโยงกับบุคคลที่จะเกี่ยวข้องเอาไว้ด้วย แอ็คชั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก ปักหมุดไว้เลยว่าเราต้องทำอะไรบ้าง แล้วทำให้ได้สม่ำเสมอในทุกวันนั่นล่ะ

อีกสิ่งที่ควรนำมาใช้ระหว่างเกิดการกระทำก็คือ “ให้จินตนาการตัวเราเมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการไว้ด้วย” ให้นึกภาพว่าเราจะเป็นยังไง รู้สึกยังไง รู้สึกถึงความฝันนั้น จุดมุ่งหมายนั้น มันเหมือนการเฟรมจิตเราให้เห็นภาพตรงชัดที่สุด

Step 4: ระลึกไว้ว่าสิ่งที่เราจะได้รับ อาจมาในชั้นตอนการได้รับที่เราคาดไม่ถึง

Mike Dooley นักเชียนเรื่อง Manifesting Change บอกว่า “ระหว่างทางของการ Manifest อาจไม่มีอะไรที่คุณรู้สึกคุ้นเคยเลยนะ ให้คงเชื่อและ Manifest ต่อไป” ไมค์บอกว่าสิ่งที่เราจะได้รับ อาจมาในรูปแบบที่แปลกๆ และคาดไม่ถึง เราไม่มีทางรู้เลยว่าการนั่งคุยกับใครบนเครื่องบินเพียงไม่กี่นาที ที่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาคนนั้นจะนำพาคนที่เป็นคู่แท้มาให้เรา หรือ คนที่เราอาจแค่ก้มเก็บของที่เขาทำตกไว้ อาจจะต่อยอดไปเป็นคนให้โอกาสในงานของเรา

“ทุกๆ วันคุณกำลังเข้าใกล้ความฝันขึ้นเรื่อยๆ จักรวาลกำลังจัดวางความบังเอิญอันโชคดีให้คุณอยู่” ไมค์บอกอีกว่าอย่าคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ กงล้อของชีวิตเริ่มหมุนเมื่อคุณได้ขอจากจักรวาลแล้ว

8 สเต็ป Manifest

Step 5: ขอบคุณในทุกสิ่งที่ได้รับ

ในขณะที่คุณกำลังรู้สึกว่าทำไมยังไม่เห็นผลของคำขอสักที ไม่ว่าคำขอจะเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่เราควรสร้างอีกอย่างคือ “สร้างคำขอบคุณรอไว้เลย” ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ก็ขอบคุณจักรวาลไว้ก่อน ดักทางเอาไว้ เพื่อให้จิตใจเราโพสิทีฟที่สุด ก็ระลึกถึงจักรวาลและนึกขอบคุณสิ่งที่กำลังจะได้รับเอาไว้นั่นล่ะ

Step 6: เอาความคิดที่ต่อต้านความเชื่อตัวเองเอาไว้

เพื่อที่จะมีแอตติจูดที่บวกที่สุด เพื่อให้คำขอเป็นจริงที่สุด เราควรตัดทุกความเชื่อที่ต่อต้านคำขอเราออกไป ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเนกาทีฟ อะไรที่จะมาขวางตัดออกไปให้หมด โอปราห์บอกว่า “การที่เราบอกตัวเองว่าเราไม่ดีพอ เราไม่มีค่าพอ เราฉลาดไม่พอ มันเหมือนเทปที่เปิดวนๆ ถ้าคุณไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้ บอกเลยว่ามันจะไปเปลี่ยนระบบความเชื่อของคุณ และไปทำลายสิ่งที่จริงแท้ที่สุดของคุณ คุณจะไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ เพราะคุณไม่เชื่อว่าจะได้ ทุกอย่างก็จะดูล่องลอยไปเลยสำหรับคุณ”

สำคัญมากในการ Manifest ก็คือคุณต้องถามตัวเองว่า “อะไรที่เป็นชุดความเชื่อของฉัน ที่อาจทำให้ฉันไม่สามารถ Manifest สิ่งที่อยากได้สำเร็จ” คิดให้ตรงชัดไว้ และเอาชุดความเชื่อใหม่ใส่แทนเข้าไป เช่น ถ้าเราเชื่อว่า “เราคงไม่ดีพอ” ก็ให้เปลี่ยนเป็น “ฉันเริ่ดในแบบฉันนี่ล่ะ” อะไรแบบนี้

Step 7: เช็คพลังงานของคุณไว้เสมอ

โอปราห์บอกว่า สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจมากๆ ก็คือ “พลังงานที่เราส่งออกไปในโลก ก็คือพลังงานที่เราจะได้รับกลับมา” จะเปลี่ยนพลังงานของคุณเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ มากๆ ลองหากิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข เรื่องเรียบง่ายที่เรายิ้มได้ แค่แหงนมองฟ้า มองดูเด็กๆ เล่น หรือทำสมาธิตอนเช้าๆ ออกกำลังกับเพื่อนให้สนุก แค่นี้พลังงานก็เปลี่ยนได้แล้ว คุณควรเช็คพลังงานตัวเองให้ดีไว้ตลอด “ถ้าใจใส คุณก็จะยิ่งส่งที่ชัดเจนและใสที่สุดออกไปให้จักรวาลรับรู้ได้ดีขึ้นเท่านั้น”

Step 8: ยืดหยุ่นเอาไว้ ขอให้เชื่อในกระบวนการทำงานของจักรวาล

อย่าพยายามเร่งการทำงานของจักรวาล แล้วก็อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเกินไป “ไว้ใจจักรวาลเถอะ” ไม่ต้องกังขาใดๆ แล้วเรื่องนี้ก็คำนวณออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ แมจิกของชีวิตคือสิ่งที่คุณอยากได้ จะตกลงมาถึงตัวคุณแบบไม่ทันคาดคิด และไม่รู้ตัวเสมอ คุณจะรู้ได้ก็ตอนได้รับสิ่งนั้นแล้วนั่นล่ะ

“จำไว้เลยว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการ Manifestation ของคุณ ก็คือตัวคุณเองนั่นล่ะ!”

ขอให้โชคดีและได้รับพรจากจักรวาลกันนะ

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ต่อได้ที่ ขออะไรก็ได้กับจักรวาล

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']