ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Self Love

“ฉันไม่ดีพอ” ความรู้สึกของหญิงสาว ที่แอบน้อยใจ และด้อยค่ากับตัวเอง

ฉันไม่ดีพอ

เมื่อไหร่ที่โลกหยุดหมุน เมื่อพระอาทิตย์ตกตรงหน้า ความสวยก็อาจทำให้เรามองไม่เห็น เมื่อนั้นหัวใจเรากำลังมีอะไรปกคลุมอยู่แล้วล่ะ ความรู้สึกน้อยใจ อึดอัดใจ ความรู้สึกว่า “ฉันไม่ดีพอ” มันกำลังคืบคลานเข้ามาอีกแล้ว

ถ้าถามผู้หญิง 7 คนใน 19 คน ว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดขวางความสุขของเธอ ทุกคนจะตอบเสียงเดียวกันเลยว่า “บางทีเราก็รู้สึกว่าไม่ดีพอ” ไม่ดีพอกับใครสักคนที่เรารัก ไม่ดีพอกับงานที่เราทำ ไม่ดีพอสำหรับคนวัยเดียวกัน แต่ก่อนที่จะเอาคำว่าดีพอ ไปตั้งคำถามกับอะไร อยากให้ลองกลับมาถามคำถามนี้กับตัวเอง “ทำไมและเมื่อไหร่กันนะ ที่ฉันรู้ว่าว่าไม่ดีพอ?”

บางทีเราก็กลัวที่จะมองย้อนกลับไปในอดีต

บางครั้งสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำเลย ก็คือเข้าไปสำรวจข้างในตัวเองลึกๆ ที่มาของความรู้สึกว่าฉันไม่ดีพอในอดีต เหมือนมีความเจ็บปวดอะไรบางอย่างรอเราอยู่ตรงนั้น แล้วการต้องกลับเข้าไปค้นหาอีกครั้ง ก็เหมือนเรากำลังเอามีดแทงตัวเองซ้ำยังไงไม่รู้

แต่จริงๆ การเข้าไปค้นให้เจอ สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ดีพอ จะทำให้เราเข้าไปทำลายต้นตอที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ได้เลยนะ ตอนที่เรารู้ตัวว่าชอบวาดรูปมาก เรารักทุกรูปของเรา แล้วอยู่ดีๆ มีใครก็ไม่รู้มาบอกว่า เราวาดรูปไม่สวย จำความรู้สึกของเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ไหม ว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นยังไง?

หรืองานที่ตั้งใจทำมากๆ กลับถูกตีกลับ คนรักที่เราทุ่มไปหมดใจ หันมาบอกเราว่าเลิกกันเถอะ พยายามเรียนให้ดีมากๆ แล้ว แต่แม่บอกว่าต้องเอาให้ได้ที่หนึ่ง เรื่องราวแบบนี้ทำให้เรากลับมาสงสัยกับตัวเอง เพราะนั่นคือหัวใจและความพยายามท่ีเราตั้งใจทำลงไป แต่มันดู “ไม่ดีพอ” เอาเลย ความรู้สึกแรกในช่วงเวลาไหน เหตุการณ์ไหนของชีวิต ที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ ลองลากออกมาดูนะ

ฉันไม่ดีพอ

“ฉันไม่ดีพอ” อาจมาจากความรู้สึก “อยากปกป้องตัวเอง”

เหมือนเป็นคำพูดที่พูดเพื่อบอกตัวเองว่า เราคงไม่ดีพอหรอก เป็นทางออกเมื่อเรารู้สึกว่าหลังชนกำแพง เราไปไม่ถูกจริงๆ ว่าจะต้องทำยังไงให้ดีกว่านี้ เราเลยปกป้องตัวเองด้วยคำพูดว่า “ฉันไม่ดีพอ”

เคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งนะ ตอนนั้นตั้งใจทำงานนี้มาก แล้วงงมากว่าทำไมหัวหน้าปิดประตูว่าเราว่า เธอทำงานแบบนี้ไปได้ยังไง ตอนนั้นอยากปกป้องตัวเองที่สุด ไม่มีคำพูดอะไรที่จะพูดตอบหัวหน้าได้เพียงว่า “ฉันอาจจะไม่ดีพอสำหรับงานนี้” แค่นั้นเลย

มารี โฟรีโอ นักจิตวิทยาการศึกษาบอกเอาไว้ว่า “ความรู้สึกไม่ดีพอ มักเกิดตอนที่คุณรู้สึกกลัวที่จะล้มเหลว กลับถูตำหนิ กลัวทำพัง กลัวถูกดูว่าไม่ฉลาด เมื่อไหร่ที่กลัว คุณจะเริ่มต้องหาอะไรมาปกป้องตัวเอง คุณเลยกลับมาตำหนิตัวเองแทน”

มันยากนะที่จะต้องหาทางคิดให้เชื่อตัวเอง แต่ถ้าเรามัวแต่สร้างเกราะแห่งความกลัวให้ตัวเอง แล้วโทษตัวเองซ้ำ เราจะวนกับความรู้สึกว่าไม่ดีพอไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ไม่ใช่การปะทะความกลัว แต่เราหนี แล้วเอาตัวเองเป็นเกราะ นั่นยิ่งทำร้ายตัวเอง

หาต้นตอความไม่ดีพอให้เจอ อย่าไปสนว่าต้องเพอร์เฟ็คท์ เปิดกว้างกับความผิดพลาด แล้วปะทะความจริง เป็นตัวเองที่ดีพอสำหรับตัวเองดีกว่า

“ฉันไม่ดีพอ”

คุยกับตัวเอง ให้เหมือนเราคุยกับเพื่อนของเรา

มีมั้ยที่เราจะบอกเพื่อนว่า “เธอๆ คนนั้นเขาเริ่ดกว่าเธอน่ะ” หรือ “เธอๆ ไม่มีใครชอบเธอเลยนะ” ไม่มีเพื่อนคนไหนที่เราจะทำแบบนี้กับเขา แล้วก็ไม่มีเพื่อนเราทำกับเราด้วย แล้วอย่างนั้นทำไมเราต้องทำกับตัวเองล่ะ เราควรเป็นคนที่เชียร์ตัวเองมากที่สุด ให้กำลังใจตัวเองมากที่สุดไม่ใช่หรือ?

เช็คตัวเองระหว่างวันไว้ทั้งวันเลยนะ ว่าเราพูดกับตัวเองว่ายังไง เคยต้องว่าตัวเองอะไรบ้าง เราโหดกับตัวเองยังไง ทำอะไรพลาดนิดเราต้องด่าตัวเองเลยหรือเปล่า

ใจดีกับตัวเราเองไว้เยอะๆ เหมือนที่เราทำกับเพื่อนเรา กับคนที่เรารัก บอกตัวเองเสมอๆ เลย จะสะกดจิตก็ได้ว่า “เราดีพอแล้ว เราทำมาดีแล้ว”

เช็คด้วยนะว่าเรามักอยู่กับคนแบบไหน

เป็นได้เหมือนกันจริงๆ ถ้าเราอยู่กับคนที่เนกาทีฟ เราก็อาจจะเนกาทีฟไปด้วย เราอยู่กับคนชอบเมาท์ เราก็อาจกลายเป็นคนชอบเมาท์ เราอยู่กับคนมองโลกบวก แน่นอนว่าพลังบวกของเขาต้องแผ่มาหาเรา แล้วลองนึกดูว่าจะหลอนแค่ไหน ถ้าเราอยู่กับคนที่คิดว่าตัวเขาเองไม่ดีพอตลอด โอวววว เราคงได้ยินแต่ประโยคแบบนี้ จนคงคิดว่า แล้วตัวเราดีพอมั้ยเนี่ย

เราเลือกสิ่งที่เราจะคิด รู้สึก เราเลือกวิธีใช้ชีวิตได้ แล้วเราก็เลือกคนที่อยู่ด้วยได้แน่นอนนะ บางครั้งอาจถึงเวลาต้องถอยออกมา แล้วกลับไปมองชีวิตตัวเองดีๆ ใหม่ เราอยากมีพลังงานแบบไหน อยู่กับคนพลังงานแบบนั้นเลย แล้วก็อย่าลืมเลิกคิดว่าตัวเองไม่ดีพอด้วยนะ

แล้วถ้านิสัยเราได้กลายเป็นคนที่ ชอบคิดว่าคนอื่นดีกว่าเราแล้วล่ะ แบบว่าเห็นใครสวยกว่า เริ่ดกว่า ก็คิดโดยอัตโนมัติเลย หรือใครทำอะไรเข้าเทรนด์ ถ้าเราไม่เข้าบ้าง เราจะไม่เริ่ดพอ เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมเราต้องเอาคนอื่นเป็นมาตรฐานให้ชีวิตเรา ทำไมเรามองไปแต่ที่คนอื่น แล้วตัวเราหายไปไหนล่ะ แล้วถ้าเราเอาแต่มองคนอื่น แล้วเราเปรียบเทียบกับตัวเอง อย่างนี้เราจะกลายเป็นคนตัดสินไปเลยมั้ย ถ้ามีคนมาชอบเรา เราจะเอาเขามาเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วตัดสินเขาด้วยมั้ย เราจะกลายเป็นคนจ้องหาสิ่งไม่ดีในตัวคนอื่นตลอดเวลามั้ย

“ฉันไม่ดีพอ”

เพราะนิสัยที่ชอบเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น สุดท้ายมันจะสะท้อนย้อนมาให้เราเป็นคนนิสัยแบบนั้น เราเอาพลังงานทั้งหมดของเรามาคิดแต่เรื่องแบบนี้ เราไม่ได้โฟกัสที่สิ่งที่เรามี คุณค่าที่เรามี แล้วอย่างนี้เราจะพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริงไปได้อย่างไร หรือเราต้องรอให้คนอื่นเขาพัฒนาก่อน เอาไปเปรียบเทียบ แล้วเราค่อยพัฒนาตาม เราจะใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือ

แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็น ทำให้สุดในแบบเราล่ะ จะดีกว่าไหม เหมือนที่อดีตนักเทนนิส จิมมี่ คอนเนอร์ พูดเอาไว้ว่า “ทุกครั้งที่ผมลงสนามแล้วชนะ เพราะผมคิดตลอดว่าผมจะทุ่มให้สุด ผมลืมทุกอย่างหมด แล้วทำให้เต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในตัวเองที่สุดแล้ว จนผมไม่สามารถแข่งอะไรได้อีก เพราะทุกความทุ่มเท ผมทำมันดีที่สุดไปแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนที่แค่คิด แต่ผมทำจริงๆ เลย”

สุดท้ายมันก็คือสิ่งที่เราต้องค้นหา

ว่าอะไรจะเวิร์คกับเราที่สุด เพื่อให้เรารู้สึกว่า “ฉันดีพอ” อย่างหนึ่งเลยที่อยากจะบอกก็คือ เราต้องรอคอยให้เป็นเพื่อจะเกิดความรู้สึกว่า “ฉันดีพอนะ” เพราะบางทีคนอื่นๆ ที่เราเห็นว่าเขาเริ่ด แต่เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาเวิร์คตัวเองมายังไง เขาถึงไปถึงจุดนั้นได้ พี่เอ๋ บอกอคลีโอเคยบอกว่า “มีคนอยากเป็นบอกอแบบพี่ อยากทำงานแบบพี่เยอะเลย แล้วก็มีคนคิดว่าชีวิตพี่ดีงามจัง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า พี่ต้องแลกกับอะไรมาบ้าง”

ทุกสิ่งที่คนหนึ่งคนจะรู้สึกว่า “ฉันดีพอแล้ว” เลยไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเราคิดว่าเขาดีพอ เขาอาจรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ บางคนเรามองว่าเขาดีกว่านี้ได้ แต่เขาโอเคที่จะดีพอแบบนั้นแล้ว

เลยเป็นเรื่องของเราที่จะจัดวางตัวเองให้รู้สึกดีพอได้ยังไง เราจะหาวิธียังไงเพื่อปะทะความรู้สึกนี้ของตัวเอง ให้เราผ่านไปได้ กลับเข้ามาข้างในตัวเอง มองเห็นสิ่งที่ตัวเองมี และเอนจอยในการพัฒนาคุณค่าของเรา เพราะเราสนุก เรามีฝัน เราอยากไปให้ถึง มากกว่าเราอยากเป็นแบบคนอื่น

ค่อยๆ ใจดีกับตัวเอง และเพิ่มความดีพอให้ต้วเองนะ ไม่ต้องเร่ง เรากำลังค้นพบตัวเราอยู่ และไม่ว่าสิ่งไม่คาดฝันอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เลิกกับแฟน ออกจากงาน โดนคนว่า อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเพราะฉันไม่ดีพอ มองความจริงตามความเป็นจริง เราจะเห็นสเปซบางอย่างในนั้น และนั่นคือความท้าทาย ที่จะทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง

“จนวันหนึ่งจะไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้ เพราะเราดีพอสำหรับเราแล้ว เราโอเคแล้วจริงๆ”

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']