ผิวบอบบางต้องการคนเข้าใจ…4 ขั้นตอนนี้จาก Burt’s Bees เพื่อผิวเซนซิทีฟโดยเฉพาะ

ใช้อะไรก็แพ้ง่าย บำรุงอะไรใหม่ๆ ก็รู้สึกรุนแรงกับผิวไปหมด เรามาเริ่มใหม่กับการปลอบประโลมผิวจากความเป็นธรรมชาติมากที่สุด แบรนด์ที่มั่นใจได้ตอนนี้ที่คลีโอคัดเลือกและยกให้เป็นเดอะเบสท์ คือไลน์ดูแลผิวบอบบางจาก Burt’s Bees ที่อยากให้คนผิวเซนซิทีฟมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม การันตีด้วยรางวัล Best Calming Facial Set จาก Cleo Beauty Hall of Fame 2023 ปีนี้ กลายมาเป็น Skincare Routine ใน 4 ขั้นตอนกับ 5 ผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้แล้วผิวของคุณจะสดใสและแข็งแรง เลิกเป็นสาวขี้แพ้ได้ไม่ยากเกินไป

เคลียร์ผิวหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียนให้กระจ่างใสด้วย 3 บูสเตอร์จาก Neal’s Yard Remedies ระดับรางวัลบิวตี้แห่งปี

ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ไหนจาก Neal’s Yard Remedies แบรนด์พรีเมียมออร์แกนิคดังจากอังกฤษที่เราใช้ตัวไหนก็ประทับใจไปหมด เพราะทางแบรนด์ค้นหาสารสกัดออร์แกนิคที่ปลอดภัย ดีต่อใจจนมั่นใจได้ว่าธรรมชาติกำลังดูแลผิวของเราอยู่จริงๆ และโปรดักท์ล่าสุดที่เราเทใจให้ทั้งหมดสำหรับปีนี้ คือสกินแคร์บูสเตอร์ 3 ขวดเล็กทรงประสิทธิภาพใน Skincare Booster Collection เพราะคอลเลคชั่นนี้เป็นนวัตกรรมการบำรุงผิวที่ให้ประโยชน์กับผิวในประสิทธิภาพสูง ผ่านการรับรองผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคและวีแกน เพิ่มเข้ามาเป็นการดูแลผิวในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ ด้วยสารสกัดจากออร์แกนิคเข้มข้นจนทำให้ CLEO Beauty Hall of Fame 2023 มอบรางวัล Best Trio Skin Boosters ให้กับสามบูสเตอร์นี้ไปครองอย่างสวยงาม

ฉลองคริสต์มาสแบบรักษ์โลก กับ Sustainable Living X’mas Tree 2023

มาฉลองคริสต์มาสส่งท้ายปีแบบรักษ์โลกให้รู้สึกดีที่สุด ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ที่พร้อมให้ทุกคนเข้ามาค้นพบ (Experiment) สร้างสรรค์ (Create) และพัฒนา (Cultivate) ได้อย่างไม่รู้จบ มอบประสบการณ์พิเศษสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาสที่ไม่เหมือนใครและแตกต่าง โดยเฉพาะการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขต้อนรับปีใหม่ในแบบซิกเนเจอร์ที่ไม่มีใครเหมือน ในปีนี้ กับ Sustainable Living X’mas Tree 2023

38 ความหมายทางจิตวิญญาณ เมื่อเราชอบเห็นสัตว์เหล่านี้ บอกเลยว่าไม่ธรรมดา!

สงสัยเลยว่าทำไมเราชอบเห็นสัตว์บางชนิดบ่อยๆ บางทีก็เห็นจริงๆ คาตา บางทีเป็นรูป บางทีมาในฝัน สัตว์เหล่านี้มีความหมายทางจิตวิญญาณเลยนะ ลองสังเกตดูแล้วลองทำนายความหมายตามนี้! สัตว์มีความหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งเลยนะ เป็นทั้งเรื่องพลัง ปัญญา การทรานส์ฟอร์ม การเดินทางของชีวิต เป็นสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อบอกเราว่า “ช่วงเวลานี้เรากำลังเชื่อมโยงกับอะไรอยู่” บางครั้งก็เป็นกำลังใจให้เราได้เลยด้วย ลองมาดูความหมายของสัตว์ 38 ชนิดนี้กันนะ ผีเสื้อ ผีเสื้อมักเป็นสัตว์ที่หมายถึง “การทรานส์ฟอร์ม” เมื่อไหร่ที่เราชอบเห็นผีเสื้อบ่อยๆ บอกเลยว่าชีวิตคุณกำลังมีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ คุณกำลังจะเติบโต และมีความสวยงามบางอย่างของชีวิตเผยออกมา ผีเสื้อยังหมายถึงว่าคุณกำลังจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตคุณสง่างามและแผ่วเบาขึ้นด้วย และยังเหป็นเรื่องของนิสัย ไลฟ์สไตล์ มุมมองที่กำลังจะเปลี่ยนไปของคุณ ผีเสื้อหมายถึง… แมงมุม แมงมุมคือสัญลักษณ์ของพลังงานของความเฟมินีนและความคิดสร้างสรรค์ แมงมุมคือสัตว์ที่รู้จักเฝ้ารอที่จะจ้องตะครุบเหยื่อ จึงเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนด้วย คุณอาจมีคุณสมบัติในการเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์สูง แมงมุมจะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับวิถีของชีวิต และช่วยร้อยเรียงทุกก้าวของโชคชะตาคุณให้ฉลาดขึ้นในทุกก้าวเดิน แมงมุมคือพลังของความเป็นแม่อันเข้มแข็งด้วย แมงมุมหมายถึง… นกสีฟ้า สีนำเงิน นกสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน นกที่มีขนสีฟ้ามันมีความหมายในเรื่องของความฉลาด เป็นสัญลักษณ์ของความขี้เล่นในตัวเราด้วย  และเป็นเรื่องของการเอาชนะศัตรูด้วยไหวพริบอันฉลาด มีเรื่องของการบงการและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ นกสีฟ้านี้ยังเป็นเหมือนครูที่ทรงพลังแสดงให้เราเห็นว่าเราจะลับสัญชาติญาณของเราให้คมกริบ และใช้พรสวรรค์ของเราให้เต็มศักยภาพได้ยอ่างไร เมื่อเห็นนกสีฟ้าเราจะอยากพัฒนาความเชื่อมโยงของเราให้ลึกซึ้งกับโลกรอบตัวของเราด้วย นกสีฟ้ายังหมายถึงการผุดรู้ภายใน การที่เราเชื่อมโยงกับพลังที่สูงส่ง การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ยากๆ […]




Self Love

“ฉันไม่ดีพอ” ความรู้สึกของหญิงสาว ที่แอบน้อยใจ และด้อยค่ากับตัวเอง

ฉันไม่ดีพอ

เมื่อไหร่ที่โลกหยุดหมุน เมื่อพระอาทิตย์ตกตรงหน้า ความสวยก็อาจทำให้เรามองไม่เห็น เมื่อนั้นหัวใจเรากำลังมีอะไรปกคลุมอยู่แล้วล่ะ ความรู้สึกน้อยใจ อึดอัดใจ ความรู้สึกว่า “ฉันไม่ดีพอ” มันกำลังคืบคลานเข้ามาอีกแล้ว

ถ้าถามผู้หญิง 7 คนใน 19 คน ว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดขวางความสุขของเธอ ทุกคนจะตอบเสียงเดียวกันเลยว่า “บางทีเราก็รู้สึกว่าไม่ดีพอ” ไม่ดีพอกับใครสักคนที่เรารัก ไม่ดีพอกับงานที่เราทำ ไม่ดีพอสำหรับคนวัยเดียวกัน แต่ก่อนที่จะเอาคำว่าดีพอ ไปตั้งคำถามกับอะไร อยากให้ลองกลับมาถามคำถามนี้กับตัวเอง “ทำไมและเมื่อไหร่กันนะ ที่ฉันรู้ว่าว่าไม่ดีพอ?”

บางทีเราก็กลัวที่จะมองย้อนกลับไปในอดีต

บางครั้งสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำเลย ก็คือเข้าไปสำรวจข้างในตัวเองลึกๆ ที่มาของความรู้สึกว่าฉันไม่ดีพอในอดีต เหมือนมีความเจ็บปวดอะไรบางอย่างรอเราอยู่ตรงนั้น แล้วการต้องกลับเข้าไปค้นหาอีกครั้ง ก็เหมือนเรากำลังเอามีดแทงตัวเองซ้ำยังไงไม่รู้

แต่จริงๆ การเข้าไปค้นให้เจอ สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ดีพอ จะทำให้เราเข้าไปทำลายต้นตอที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ได้เลยนะ ตอนที่เรารู้ตัวว่าชอบวาดรูปมาก เรารักทุกรูปของเรา แล้วอยู่ดีๆ มีใครก็ไม่รู้มาบอกว่า เราวาดรูปไม่สวย จำความรู้สึกของเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ไหม ว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นยังไง?

หรืองานที่ตั้งใจทำมากๆ กลับถูกตีกลับ คนรักที่เราทุ่มไปหมดใจ หันมาบอกเราว่าเลิกกันเถอะ พยายามเรียนให้ดีมากๆ แล้ว แต่แม่บอกว่าต้องเอาให้ได้ที่หนึ่ง เรื่องราวแบบนี้ทำให้เรากลับมาสงสัยกับตัวเอง เพราะนั่นคือหัวใจและความพยายามท่ีเราตั้งใจทำลงไป แต่มันดู “ไม่ดีพอ” เอาเลย ความรู้สึกแรกในช่วงเวลาไหน เหตุการณ์ไหนของชีวิต ที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ ลองลากออกมาดูนะ

ฉันไม่ดีพอ

“ฉันไม่ดีพอ” อาจมาจากความรู้สึก “อยากปกป้องตัวเอง”

เหมือนเป็นคำพูดที่พูดเพื่อบอกตัวเองว่า เราคงไม่ดีพอหรอก เป็นทางออกเมื่อเรารู้สึกว่าหลังชนกำแพง เราไปไม่ถูกจริงๆ ว่าจะต้องทำยังไงให้ดีกว่านี้ เราเลยปกป้องตัวเองด้วยคำพูดว่า “ฉันไม่ดีพอ”

เคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งนะ ตอนนั้นตั้งใจทำงานนี้มาก แล้วงงมากว่าทำไมหัวหน้าปิดประตูว่าเราว่า เธอทำงานแบบนี้ไปได้ยังไง ตอนนั้นอยากปกป้องตัวเองที่สุด ไม่มีคำพูดอะไรที่จะพูดตอบหัวหน้าได้เพียงว่า “ฉันอาจจะไม่ดีพอสำหรับงานนี้” แค่นั้นเลย

มารี โฟรีโอ นักจิตวิทยาการศึกษาบอกเอาไว้ว่า “ความรู้สึกไม่ดีพอ มักเกิดตอนที่คุณรู้สึกกลัวที่จะล้มเหลว กลับถูตำหนิ กลัวทำพัง กลัวถูกดูว่าไม่ฉลาด เมื่อไหร่ที่กลัว คุณจะเริ่มต้องหาอะไรมาปกป้องตัวเอง คุณเลยกลับมาตำหนิตัวเองแทน”

มันยากนะที่จะต้องหาทางคิดให้เชื่อตัวเอง แต่ถ้าเรามัวแต่สร้างเกราะแห่งความกลัวให้ตัวเอง แล้วโทษตัวเองซ้ำ เราจะวนกับความรู้สึกว่าไม่ดีพอไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ไม่ใช่การปะทะความกลัว แต่เราหนี แล้วเอาตัวเองเป็นเกราะ นั่นยิ่งทำร้ายตัวเอง

หาต้นตอความไม่ดีพอให้เจอ อย่าไปสนว่าต้องเพอร์เฟ็คท์ เปิดกว้างกับความผิดพลาด แล้วปะทะความจริง เป็นตัวเองที่ดีพอสำหรับตัวเองดีกว่า

“ฉันไม่ดีพอ”

คุยกับตัวเอง ให้เหมือนเราคุยกับเพื่อนของเรา

มีมั้ยที่เราจะบอกเพื่อนว่า “เธอๆ คนนั้นเขาเริ่ดกว่าเธอน่ะ” หรือ “เธอๆ ไม่มีใครชอบเธอเลยนะ” ไม่มีเพื่อนคนไหนที่เราจะทำแบบนี้กับเขา แล้วก็ไม่มีเพื่อนเราทำกับเราด้วย แล้วอย่างนั้นทำไมเราต้องทำกับตัวเองล่ะ เราควรเป็นคนที่เชียร์ตัวเองมากที่สุด ให้กำลังใจตัวเองมากที่สุดไม่ใช่หรือ?

เช็คตัวเองระหว่างวันไว้ทั้งวันเลยนะ ว่าเราพูดกับตัวเองว่ายังไง เคยต้องว่าตัวเองอะไรบ้าง เราโหดกับตัวเองยังไง ทำอะไรพลาดนิดเราต้องด่าตัวเองเลยหรือเปล่า

ใจดีกับตัวเราเองไว้เยอะๆ เหมือนที่เราทำกับเพื่อนเรา กับคนที่เรารัก บอกตัวเองเสมอๆ เลย จะสะกดจิตก็ได้ว่า “เราดีพอแล้ว เราทำมาดีแล้ว”

เช็คด้วยนะว่าเรามักอยู่กับคนแบบไหน

เป็นได้เหมือนกันจริงๆ ถ้าเราอยู่กับคนที่เนกาทีฟ เราก็อาจจะเนกาทีฟไปด้วย เราอยู่กับคนชอบเมาท์ เราก็อาจกลายเป็นคนชอบเมาท์ เราอยู่กับคนมองโลกบวก แน่นอนว่าพลังบวกของเขาต้องแผ่มาหาเรา แล้วลองนึกดูว่าจะหลอนแค่ไหน ถ้าเราอยู่กับคนที่คิดว่าตัวเขาเองไม่ดีพอตลอด โอวววว เราคงได้ยินแต่ประโยคแบบนี้ จนคงคิดว่า แล้วตัวเราดีพอมั้ยเนี่ย

เราเลือกสิ่งที่เราจะคิด รู้สึก เราเลือกวิธีใช้ชีวิตได้ แล้วเราก็เลือกคนที่อยู่ด้วยได้แน่นอนนะ บางครั้งอาจถึงเวลาต้องถอยออกมา แล้วกลับไปมองชีวิตตัวเองดีๆ ใหม่ เราอยากมีพลังงานแบบไหน อยู่กับคนพลังงานแบบนั้นเลย แล้วก็อย่าลืมเลิกคิดว่าตัวเองไม่ดีพอด้วยนะ

แล้วถ้านิสัยเราได้กลายเป็นคนที่ ชอบคิดว่าคนอื่นดีกว่าเราแล้วล่ะ แบบว่าเห็นใครสวยกว่า เริ่ดกว่า ก็คิดโดยอัตโนมัติเลย หรือใครทำอะไรเข้าเทรนด์ ถ้าเราไม่เข้าบ้าง เราจะไม่เริ่ดพอ เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมเราต้องเอาคนอื่นเป็นมาตรฐานให้ชีวิตเรา ทำไมเรามองไปแต่ที่คนอื่น แล้วตัวเราหายไปไหนล่ะ แล้วถ้าเราเอาแต่มองคนอื่น แล้วเราเปรียบเทียบกับตัวเอง อย่างนี้เราจะกลายเป็นคนตัดสินไปเลยมั้ย ถ้ามีคนมาชอบเรา เราจะเอาเขามาเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วตัดสินเขาด้วยมั้ย เราจะกลายเป็นคนจ้องหาสิ่งไม่ดีในตัวคนอื่นตลอดเวลามั้ย

“ฉันไม่ดีพอ”

เพราะนิสัยที่ชอบเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น สุดท้ายมันจะสะท้อนย้อนมาให้เราเป็นคนนิสัยแบบนั้น เราเอาพลังงานทั้งหมดของเรามาคิดแต่เรื่องแบบนี้ เราไม่ได้โฟกัสที่สิ่งที่เรามี คุณค่าที่เรามี แล้วอย่างนี้เราจะพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริงไปได้อย่างไร หรือเราต้องรอให้คนอื่นเขาพัฒนาก่อน เอาไปเปรียบเทียบ แล้วเราค่อยพัฒนาตาม เราจะใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือ

แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็น ทำให้สุดในแบบเราล่ะ จะดีกว่าไหม เหมือนที่อดีตนักเทนนิส จิมมี่ คอนเนอร์ พูดเอาไว้ว่า “ทุกครั้งที่ผมลงสนามแล้วชนะ เพราะผมคิดตลอดว่าผมจะทุ่มให้สุด ผมลืมทุกอย่างหมด แล้วทำให้เต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในตัวเองที่สุดแล้ว จนผมไม่สามารถแข่งอะไรได้อีก เพราะทุกความทุ่มเท ผมทำมันดีที่สุดไปแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนที่แค่คิด แต่ผมทำจริงๆ เลย”

สุดท้ายมันก็คือสิ่งที่เราต้องค้นหา

ว่าอะไรจะเวิร์คกับเราที่สุด เพื่อให้เรารู้สึกว่า “ฉันดีพอ” อย่างหนึ่งเลยที่อยากจะบอกก็คือ เราต้องรอคอยให้เป็นเพื่อจะเกิดความรู้สึกว่า “ฉันดีพอนะ” เพราะบางทีคนอื่นๆ ที่เราเห็นว่าเขาเริ่ด แต่เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาเวิร์คตัวเองมายังไง เขาถึงไปถึงจุดนั้นได้ พี่เอ๋ บอกอคลีโอเคยบอกว่า “มีคนอยากเป็นบอกอแบบพี่ อยากทำงานแบบพี่เยอะเลย แล้วก็มีคนคิดว่าชีวิตพี่ดีงามจัง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า พี่ต้องแลกกับอะไรมาบ้าง”

ทุกสิ่งที่คนหนึ่งคนจะรู้สึกว่า “ฉันดีพอแล้ว” เลยไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเราคิดว่าเขาดีพอ เขาอาจรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ บางคนเรามองว่าเขาดีกว่านี้ได้ แต่เขาโอเคที่จะดีพอแบบนั้นแล้ว

เลยเป็นเรื่องของเราที่จะจัดวางตัวเองให้รู้สึกดีพอได้ยังไง เราจะหาวิธียังไงเพื่อปะทะความรู้สึกนี้ของตัวเอง ให้เราผ่านไปได้ กลับเข้ามาข้างในตัวเอง มองเห็นสิ่งที่ตัวเองมี และเอนจอยในการพัฒนาคุณค่าของเรา เพราะเราสนุก เรามีฝัน เราอยากไปให้ถึง มากกว่าเราอยากเป็นแบบคนอื่น

ค่อยๆ ใจดีกับตัวเอง และเพิ่มความดีพอให้ต้วเองนะ ไม่ต้องเร่ง เรากำลังค้นพบตัวเราอยู่ และไม่ว่าสิ่งไม่คาดฝันอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เลิกกับแฟน ออกจากงาน โดนคนว่า อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเพราะฉันไม่ดีพอ มองความจริงตามความเป็นจริง เราจะเห็นสเปซบางอย่างในนั้น และนั่นคือความท้าทาย ที่จะทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง

“จนวันหนึ่งจะไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้ เพราะเราดีพอสำหรับเราแล้ว เราโอเคแล้วจริงๆ”

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']