เราควรปล่อยให้เรา “ไม่มีความสุข” บ้าง อาจทำให้เราโอเคกว่าพยายาม “มีความสุข” นะ อีกหนึ่งเรื่องในโลกยุคนี้ที่เราต่างไขว่คว้าหาความสุขกัน
ฉันเป็นหนึ่งคนในโลกในหลายๆ คนเลยที่ออกจะยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ใครถามว่าเป็นยังไง ฉันมักตอบว่า “ก็มีความสุขดีนะ” แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทำไมฉันถึงติดใจกับคำๆ นี้จัง “มีความสุข” ฉันสงสัยกับมันมากว่าที่ฉันบอกโลกว่าฉันมีความสุขน่ะ ฉันมีความสุขกับอะไรเหรอ?
นึกถึงตอนนางเอกยอมมีจองใน My Liberation Notes บอกเอาไว้เลยว่า เธอจะสะสมความสุขเล็กๆ วันละไม่กี่วินาที เอามารวมกันให้ได้วันละ 5 นาที นั่นก็คือดีมากสำหรับเธอ เธอยอมรับกับตัวเองว่า “ฉันไม่ได้ทุกข์ แต่ก็ไม่ได้มีความสุขด้วย” เธอเลยมีชีวิตที่ปะทะความจริงเสมอ และยอมรับกับสิ่งที่จักรวาลส่งมาให้เธอโดยศิโรราบ
ฉันเองก็อาจมีความยอมมีจองอยู่บ้าง แต่ฉันไม่เหมือนเธอตรงที่ “ฉันไม่กล้าบอกโลกว่าฉันไม่โอเค” ฉันเลยปล่อยให้เคล็ดลับชีวิตเพื่อจะมีความสุขต่างๆ มามีอิทธิพลกับชีวิตฉัน ฉันต้องออกไปสังสรรค์ เปลี่ยนทรงผม ออกเดินทาง ซื้อลิปสติกแท่งใหม่ เพื่อจะมีความสุข แล้วถ้าฉันคิดไม่ดีเมื่อไหร่ ถ้ามีคำว่า “เหนื่อย ท้อ เซ็งจัง” โลกของพลังบวกก็จะเอาค้อนมาตีหัวฉัน “เธอห้ามแผ่พลังลบนะ เธอต้องบอกตัวเองว่ามีความสุขสิ!”
แต่สุดท้ายฉันก็มารู้ว่า “การพยายามจะมีความสุขของฉัน” มันไม่เวิร์คเลย
แล้วฉันก็มาค้นพบอีกว่า ฉันไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่รู้สึกแบบนี้ ล่าสุดจากงานวิจัยของมหาวิทยลายเพนซิลวาเนียในอเมริกา มีจำนวนผู้หญิงอายุสามสิบอัพแบบฉันที่ไม่มีความสุข มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเลยเกิดคำถามว่า เราต้องมุ่งหน้าหาความสุขกันขนาดนั้นจริงๆ หรือ หรือแค่เราสุขภาพกายและใจโอเคอยู่ เราบาลานซ์ชีวิตได้พอประมาณ ดูหนังดีๆ อ่านหนังสือดีๆ กินอาหารดีๆ แล้วก็มีโมเมนท์ดีๆ ได้คุยกับใคร นั่นก็โอเคพอแล้วมั้ย
ถ้าการที่คุณถูกใครถามว่า “คุณมีความสุขไหม?” แล้วโมเมนท์นั้นคุณอึ้ง ตอบไม่ได้ และทำให้คุณคิด ฉันว่ามันจะซื่อสัตย์กับตัวเองกว่ามั้ย ถ้าเราตอบเขาไปว่า “ฉันพอจะโอเคอยู่บ้าง ก็สุขบ้าง ทุกข์บ้างเป็นธรรมดา” ถ้าเรายอมให้ชีวิตเราล้อไปกับครรลองของความทุกข์และความสุข ให้เราไหลไปบนคลื่นแบบนั้นได้ เราก็น่าจะรู้ว่าเราจะทำยังไงกับตัวเอง ไม่ให้เก็บกดเกินไป และไม่ให้ตัวเองพัง
ถึงแม้ว่ารอบตัวใครๆ ก็พยายามหาความหมายของความสุขกัน อริสโตเติลเองเคยบอกว่า “ความสุขคือสภาวะที่เรารู้สึกว่าเรามีทุกอย่างพอแล้ว และเรามีชีวิตที่สมดุลดีงาม” เพลโตก็เคยบอกว่า “ความสุขคือการที่เราสามารถแก้ปัญหาต่างๆ และทำสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันให้เสร็จสิ้นไป”
ฉันเลยอยากรู้ว่าแล้วถ้าเราพยายามมากเกินไปที่จะมีความสุขล่ะ มันจะเป็นกับดักทำให้เราไม่ยอมรับความรู้สึกแท้จริงของตัวเองไปหรือเปล่านะ นักจิตวิทยา เจมส์ คอยน์เชื่อว่า “ถ้าเราพยายามจะมีความสุขมากเกินไป เราอาจทำให้ตัวเองจมอยู่กับความหดหู่ได้เหมือนกัน” เขาเชื่อว่าการอยากมีความสุขต้องมีลิมิต เพราะมันจะทำให้เราไขว่คว้าไปเรื่อยๆ เราจะไม่รู้จักพอกับความสุข ติดสุข และอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีความสุข จนทำให้เราไม่ได้มองความเป็นจริง และตีความทุกสิ่งผิดไป เรื่องที่เราลืมไปก็คือ “ความสุขเมื่อมาแล้ว มันจะปรับตัวเองให้คลี่คลายลงไปในที่สุด”
เหมือนกับงานวิจัยของ ซอนย่า ลิวโบเมิร์สกี้ เธอเขียนหนังสือเรื่อง The How of Happiness ซอนย่าบอกว่า “คนรักที่แต่งงานกัน ความสุขจะอยู่เพียง 2 ปีหลังแต่งงาน แล้วก็จะค่อยๆ คลี่คลายลง”คนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งก็เช่นเดียวกัน พวกเขามีความสุขหลังจากนั้นได้ไม่เกิน 1 ปี การอยากมีความสุขจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่กับเรานาน และถ้าเราหลอกตัวเองว่าฉันมีความสุข ก็จะยิ่งเป็นเหมือนแผลกดทับ นอกจากจะไม่มีความสุขจริงแล้ว เรายังต้องรักษาสิ่งที่บอกโลกไปแบบนั้นด้วย
ฉันมีความสุขไม่นาน แล้วก็มีความทุกข์สลับกันอยู่แบบนี้ จนฉันเริ่มจับแพทเทิร์นชีวิตได้ว่า เมื่อไหร่ที่เราบอกว่าเรามีความสุขจัง รอไปได้ไม่นานเลย ความทุกข์จะมาปะทะทันที ฉันเลยเริ่มอยากบอกโลกด้วยคำใหม่ๆ ให้มันกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะฉันรู้ว่าต่อให้มีชีวิตอันดีงามแค่ไหน คนเราก็ไม่มีวันหนีความรู้สึก “ไม่มีความสุข” ได้หรอก เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการมีชีวิตนั่นเองแหละ
แล้วเราจะเปลี่ยนการพยายามเป็นคนต้องมีความสุข เป็นอะไรดี?
แทนที่จะปล่อยให้ความรู้สึกไม่มีความสุขผ่านไปง่ายๆ ซูซาน-โนเลน โฮคเซม่า นักจิตวิทยาบอกวา “ให้คุณเข้าไปอยู่ในสภาวะไม่มีความสุขนั้น” และเมื่อเข้าไปแล้ว ให้เราหาทางแก้ปัญหากับสิ่งนั้น เหมือนกับคำที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า “Take it as it comes” อย่าไปกดดันอะไรตัวเองเพื่อจะต้องพอใจและมีความสุข แต่ให้รับมือไปเมื่ออะไรที่เราไม่มีความสุขมันเกิดขึ้นมา การถามตัวเองว่า “ทำไม” จะช่วยเราได้ สาวไปให้ถึงสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุข เราอาจจะเจอกับอะไรที่เราต้องอึ้งกับตัวเองเลยก็ได้
พอฉันได้ลองมาฝึกใช้วิธีนี้กับตัวเอง ฉันเจอทุกครั้งว่าที่ฉันไม่มีความสุขเพราะ “ฉันกลัว” กลัวว่าจะไม่ดี กลัวจะพัง กลัวคนจะไม่ชอบ ฉันกลัวหมดทั้งนั้นเลย ก็เลยทำให้ฉันคิดต่อว่า สมมุติว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ฉันจะทำยังไง พอมาถึงตอนนี้ฉันก็จะเริ่มคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลขึ้น หาทางแก้ได้เมคเซนส์ขึ้น แล้วจากเครียดๆ ไม่มีความสุข ฉันก็โล่งขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ฉันจะบอกโลกได้หรอกนะว่า “มีความสุขจัง” เอาแค่ “พอจะรู้ว่าต้องทำยังไง” แค่นั้นก็ดีพอสำหรับฉันแล้วล่ะ
ฉันก็เลยเลิกพยายามที่ต้องหาอะไรถมให้ตัวเองมีความสุข ฉันค่อยๆ ไปในแต่ละโมเมนท์ ไม่จัดหนักให้ตัวเอง ไม่เร่งตัวเอง แล้วก็ไม่ต้องหมกมุ่นเปรียบเทียบความสุขของตัวเองกับคนอื่น ใครๆ ที่มีความสุข เขาก็ไม่มีความสุขด้วยทั้งนั้นแหละ
ทุกวันนี้ฉันขอให้ฉันรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาได้ แบบไม่กดดันจนเครียดเกินไป ขอให้มีมุมสงบกับตัวเองบ้าง รื่นรมย์บ้าง ทำอะไรเอนจอยๆ บ้าง ฉันชอบชีวิตที่ไม่หวือหวานัก และยิ้มนุ่มๆ กับตัวเองได้นะ ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขจัง แต่ฉันว่าฉันเป็นมิตรกับความจริงที่เข้ามาในชีวิตนะ ก้มหัวขอบคุณบางในบางครั้ง แล้วก็รับมือไป ฉันว่าฉันก็โอเคอยู่เลยล่ะ
แล้วคุณล่ะ อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้คุณก้าวไปในแต่ละวันได้
คุณเคยสงสัยกับคำถามว่า “มีความสุขดีมั้ย?” แบบฉันกันบ้างมั้ย
อ่านเรื่องราวต่อได้ที่ 7 รูปแบบความเหงา ที่ทำให้เราไม่มีความสุข