ถ้าให้พูดถึง “เบล สุพล” เมื่อไหร่ เสียงร้องเพลงที่นุ่มลึกของเขาจะก้องขึ้นมาในหูของเราทันที ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เบลทำผลงานเพลงให้เราได้ฟังและจดจำได้มากมาย และยังคงเป็นเพลงในตำนานจนถึงตอนนี้ ใช้เวลาหลายปีในการบ่มเพาะความสามารถ และประสบการณ์ของตัวเอง และเติบโตขึ้นเป็นศิลปินที่เป็นที่รักของทุกคนอย่างรวดเร็ว จนผันตัวไปทำเบื้องหลังและห่างหายไปจากการทำเพลงถึงสองปี ตอนนี้เขากลับมาทำเพลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นเพลงที่ถ่ายทอดจากความรู้สึกของเขาล้วนๆ เบลเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จัก “ความเป็นตัวเอง” มากขึ้น ลองมาฟังเรื่องราวของเบลกันนะ
เบลเป็นคนที่ไม่นิยามความเป็นตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว เขาคือผู้ชายที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสัจจธรรมของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ตลอดเวลาที่เบลเติบโต เบลพยายามหาความรู้สึกและความต้องการของตัวเองที่แท้จริง ความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว โดยไม่ผ่านมุมมองของคนอื่น และเขายังค้นหาความรู้สึกนั้นอยู่จนทุกวันนี้ เขาบอกว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการใช้ชีวิต คือการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราเอง และวิธีการที่เราสามารถทำได้ นั่นคือ “การซื่อสัตย์กับความรู้สึก”
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกมากขึ้น
“ตอนเด็กๆ เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจตัวเอง เรารู้จักตัวเอง แต่ความจริงคือไม่ใช่เลย ตอนนั้นเรายังไม่ได้เห็นตัวเองจริงๆ มันอาจจะมีความอยากที่จะเป็นบางอย่าง หรืออยากให้คนมองเรายังไง จนทำให้ความเป็นเรามันผสมกันไปหมด แต่จริงๆ แล้วตัวเราเองเป็นยังไง ความรู้สึกของเราที่แท้จริงโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะมองเรายังไง สิ่งที่เรารู้สึกหรือต้องการจริงๆ คนอื่นจะชอบหรือไม่ชอบ พอเราโตขึ้นเราก็พยายามจะหาสิ่งนี้และทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น”
พูดถึงเรื่องความสุข เบลบอกว่า “สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข คือการที่เราไม่ต้องคิดอะไร” ความว่างเปล่าทางความคิดคือความสุขทางจิตใจที่แท้จริง ไม่ต้องมีอะไรให้กังวล ไม่มีอะไรให้เครียด นี่แหละคือความสุข ซึ่งส่งผลต่อการทำงานด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น การจะทำงานให้ออกมาดี ก็ต้องทำออกมาผ่านความรู้สึกที่สนุกไปกับมัน เบลจะคอยหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้การทำงานของเขาสนุกและมีสีสันมากขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง
“เท่าไหร่ก็ไม่พอ” เพลงใหม่ในรอบสองปีของ เบล สุพล
“เท่าไหร่ก็ไม่พอ” คือเพลงใหม่ของเบลหลังจากห่างหายจากการทำเพลงไปสองปี เบลบอกว่า เขารอจังหวะที่ดีที่สุดในการปล่อยเพลง เพื่อรวบรวมอารมณ์และความรู้สึกในตอนนั้นให้ได้มากที่สุด เบลเล่าว่า “มันเกี่ยวความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ที่เรารู้สึกว่ากำลังซัฟเฟอร์กับความรู้สึกอะไรบางอย่าง เดินก็เดินไปไม่ถึง จะฝืนทนเดินต่อไปก็อึดอัด แต่พอจะเดินออกมาก็ไม่ง่าย เพราะรักและผูกพันกับสิ่งนั้น เลยกลายเป็นความอึดอัด ทรมานที่รู้สึกว่าเราอยากจะเล่ามันออกมา เพราะมันก็เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างใหญ่ เลยอยากเอาความรู้สึกตรงนี้มาทำเพลง”
เป็นความรู้สึกที่ ถ้าใครอยู่ในสภาวะที่ไปไม่ถึง แต่เดินออกมาก็ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต คนที่อยู่ในสภาวะแบบนั้นน่าจะเข้าใจเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นศิลปิน
เบลบอกว่า ตั้งแต่ได้มาเป็นศิลปิน การทำงานในฐานะศิลปินคือการสร้างสรรค์งานผ่านศิลปะรูปแบบไหนก็ตาม โดยเฉพาะรูปแบบของเพลง รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง มันก็คือการสื่อสารความรู้สึกออกมาผ่านสิ่งเหล่านั้น การเรียนรู้ที่เบลได้จากการเป็นศิลปินไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นการได้รู้จักตัวเองในทุกๆ วัน
เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ จากการทำเพลงของเราเอง ในวันที่เราอายุน้อยกว่านี้ เราอาจจะคิดว่าเรารู้แล้วล่ะ ว่าเราคือใคร มันจะมีความอยากให้คนเห็นว่าเราเป็นยังไงผสมอยู่เข้ามาด้วย มันยังไม่ใช่ความรู้สึกของเราที่แท้จริง เราแค่กังวลกับความคิดคนอื่น แต่พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า เวลาที่เราทำเพลง มันออกมาจากตัวตน ความรู้สึก มาจากประสบการณ์ชีวิตเรา ทำให้เราต้องสำรวจตัวเอง สำรวจความรู้สึกตัวเองแทยจะตลอดทาง ทำให้เราตกตะกอนมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วเรารู้สึกแบบนี้ จริงๆ แล้วถ้าตัดความคิดที่ว่าคนอื่นจะมองเรายังไง หรือเราจะเป็นที่รักของคนอื่นไหมออกไป เรารู้สึกยังไงกันแน่ ความต้องการของเราจริงๆ คืออะไร
อ่านเรื่องราวอื่น ๆ ได้ที่ CLEO Thailand และ FB > CLEO