ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Self Love

รักมากี่ครั้ง ก็จบด้วยน้ำตา



แต่ครั้งนี้.. “ฉันจะไม่ยอม”

คำอันศักดิ์สิทธิ์ที่เขาบอกว่า “ถ้าคุณลัคกี้ อิน เกม คุณจะไม่ลัคกี้ อิน เลิฟ” คุณอาจเป็นตัวท้อปเรื่องงานนะ แต่บอกเลยว่าเรื่องความรักแทบจะดิ่งลงเหว หรือการที่ถูกหมอดูจ้องหน้าแล้วพูดประโยคว่า “เธอเป็นคนเก่งนะ แต่ทำไมว้าเหว่อย่างนี้” ฟังแรกๆ ก็แอบยิ้มในใจ อะ อย่างน้อยเราเก่ง แต่พอผ่านไปสิบปี สิบห้าปี อายุเริ่มเข้าสามสิบปลาย ไปสี่สิบต้น ไม่สนุกละ หรือ “เราไม่มีโชคเรื่องความรักจริงๆ”

จากมีแฟน มีความรักในวัยยี่สิบ วัยสามสิบ รักผู้ชายมาก็ไม่ได้เยอะมาก ไม่เกิน 3 คนนะ แต่พังหมดทุกคน เข้าใจเขาก็แล้ว ทำดีก็แล้ว ไม่ตาม ไม่เยอะ แต่สุดท้ายเขาก็บอกเลิกเฉยๆ บ้าง ทะเลาะกันจนต้องเลิกบ้าง หรือโทรศัพท์เด้งกลางดึก เขากำลังอยู่กับคนอื่น ถามว่าเป็นตราบาปในใจมั้ย เข็ดมั้ยกับความรัก ไม่เข็ดนะ แต่ก็ไม่เซลฟ์แล้ว

อายุน้อยๆ หัวใจยังมีความยืดหยุ่นสูง ยังพอรับมือได้นะ แต่พอแตะเลขสี่ปั๊บ ถ้ายังรักษาใจไม่ดี ใจยังหาทางเดินกลับเข้าไปไม่ได้เวลามีความรัก และลึกๆ ยังไขว่คว้าอยากมีใครอยู่ คราวนี้ถ้าดันมาเจอรักที่พังอีกครั้ง บอกเลยว่าน้อตทุกตัวในร่างมันค่อยๆ ร่วงต่ำลงดิน หัวใจอ่อนยวบกว่าทุกครั้ง คิดมาก เวิ่นเว้อกับตัวเอง มองโลกแง่ร้าย และซึมเศร้าไปเลย “หรือเราไม่ดีจริงๆ นะ” “หรือเราแก่” “หรือเราไม่สวยพอ”

แล้วการที่ไปจับได้ว่าแฟนเราไปอัพเดทโพรไฟล์ในเดทติ้ง แอพ ในขณะที่คบเราอยู่ ใครจะรับได้กันเหรอ? เห็นแต่ต้องทำเป็นนิ่ง ไม่นะ โลกสอนว่าอย่าเพิ่งโวยวาย เฉยไว้ก่อน แต่ใจเร่าๆ ไม่มีความสุขเลย ปากยิ้มให้เขา แต่ตาแข็งมาก เกิดเป็นความกลัวจี๊ดขึ้นมาทันที “แล้วเราจะหาคนที่รักเรา แล้วเรารักได้อีกมั้ย” กลัวหาใครไม่ได้ ไม่อยากอยู่คนเดียว เพราะก็หลอกตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกัน ว่าเราชอบมีความรัก อยากรักคนอื่น แต่ก็รู้ว่าตัวเราไม่ง่าย ไม่ได้ชอบคนง่ายๆ กว่าจะเจอคนนี้ก็ใช่ที ใช้เวลาเป็นปีๆ

พอรักคนยาก แล้วดันเจอ แล้วรู้สึกว่าเราอยู่กับคนนี้ไปได้เรื่อยๆ สำหรับเราเขาคือติ๊กถูกทุกข้อ เรามีภาพเขาในอนาคตอยู่ในหัว พอเลิกปุ๊บ ภาพมันถูกฉีก ใจนี่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเลย โลกพังทลาย ภาพฝันดับสิ้น “ทำไมเราต้องเจออีก ทำไมต้องร้องไห้ ทำไมไม่ลงตัว” แล้วก็กลัวว่าจะไม่เจอคนที่ใช่แบบเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลิกกับแฟนนะ แต่เจ็บมาก แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเสียใจมากขนาดนี้

เท่าที่วิเคราะห์กับตัวเอง คือมันเกี่ยวกับความมั่นคงในใจเรา ตกลงคือยังไง? เพราะเราแก่ขึ้น เราถึงกลัวหรือเปล่า? แต่ความแก่ขึ้น เราก็มีสติขึ้นนะ ดีขึ้นทุกเรื่องในชีวิต ยกเว้นอย่างเดียวคือ เรื่องความรัก…..

ได้คุยกับนักจิตบำบัด เพื่อนที่เชี่ยวเรื่องนี้ อาจารย์สอนนั่งสมาธิ คุยกับพระก็คุย ปัญหาของเราคือ “เราชอบเอาภาพฝันว่าต้องมีใครเข้ามาในตัวเรา” และเราไม่ค่อยยอมรับความจริงว่า “อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้” จะเถียงตลอดว่า “ไม่ได้” ฉันต้องมีให้พร้อมสิ พระอาจารย์บอกว่า “คนเราไม่ได้เกิดมา จะมีโชคทุกด้าน” เราก็ไม่ยอมรับ ทำไมล่ะ นี่เรื่องเบสิคเลยนะเรื่องมีคู่เนี่ย ก็ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่เหรอ? แล้วอีกอย่างที่ไม่เคยยอมรับก็คือ “ถ้าเขาและเราใช่ต่อกัน รักกันแล้ว ทำไมเราปรับกันไม่ได้ ทำไมต้องเลิก” เราไม่เคยเข้าใจคำว่า “อยู่ดีๆ ก็หมดเวลากันได้” ไม่เข้าใจเลย

ที่ซ้ำเติมตัวเองเข้าไปอีกคือ เราคิดว่าถ้าเรื่องความรักเราดีสักที ชีวิตจะดีหมด จะได้ไปทำอย่างอื่นแล้ว เราเหมือนรอให้เรื่องนี้ลงตัวก่อน เราลืมอะไรไปเยอะมากๆ แล้วพอมาได้ฝึกเรื่องการดึงใจของตัวเองกลับมา กับฝึกยอมรับความจริง ฝึกไม่ให้ดำดิ่ง ไม่ให้คิดฝันไปไกล ฝึกให้อยู่กับความจริงที่เรามี ไม่อยากเชื่อว่ามายด์เซ็ตทุกอย่างมันค่อยๆ เปลี่ยน

มันมีความรู้สึก “ยอม” เกิดขึ้นในใจทันที เด็กดื้อที่มัวแต่กระโดดอยากมีความรัก อยากมีคนดีๆ ในชีวิต ดูสงบลง แล้วเริ่มหันไปมองโลกทางอื่น เห็นแล้วล่ะว่าพลังใจของเรา ไม่จำเป็นต้องทุ่มแต่เรื่องความรัก แค่เปลี่ยนโฟกัสไปตั้งใจทำอย่างอื่นมากขึ้น ยอมออกจากพื้นที่แห่งความฝันนี้ พอได้ก้าวออกมาเป็น เรากลับโล่ง และมีความสุขกับตัวเองได้ นึกถึงเรื่องความรักพังๆ ของตัวเอง น้ำตาไม่ไหลแล้ว เลิกโทษตัวเอง “ฉันนี่ล่ะสวย” “ฉันแซ่บด้วยนะ” กลายมาเป็นความเข้าใจตัวเราในมุมใหม่ เราไม่เคยรู้เลยว่า ในสายตาของเพื่อนๆ เราเป็นเพื่อนที่อยู่ในใจเขา

จากแต่ก่อนเวลารักพังๆ เรามักจะหนี ต้องเดินทาง ต้องไปที่ไกลๆ ไปล้างใจให้หมด หรือหนีไปกินเหล้ากับเพื่อนเกือบทุกวัน หนีจนไม่ทันมองว่า ไม่ต้องไปไหนก็ได้ เพราะทั้งหมดมันอยู่ในใจ แค่นั่งเฉยๆ แล้วปะทะกับความทุกข์ตรงๆ เจ็บก็คือรู้ว่าเจ็บ ไม่ได้ก็คือยอมรับว่าไม่ได้ ทำไมเราต้องไปลัลล้ากลบเกลื่อน เอาหอไอเฟล ทุ่งลาเวนเดอร์มาเยียวยาให้เปลืองเงินด้วย ถ้าจะไปก็ควรไปเพราะอยากดูโลกจริงๆ มากกว่าให้โลกเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้ใจเหมือนมีเพื่อน

“กลับมาที่ใจเรา”

พอความคิดจะเตลิด ความเจ็บกำลังผุดขึ้นๆ ถ้าเราแค่ใส่เสียงเพิ่มเข้าไป “ไม่เป็นไร เจ็บก็รู้ไว้ เดี๋ยวก็หายนะ” อยู่กับมันไป สังเกตตัวเองด้วยว่า อ้าว! ก็อยู่ได้นี่ ไหนเคยตีอกชกหัวว่า ถ้าไม่มีใครเราต้องแย่แน่ๆ ไม่แย่นี่นา พลังใจ แรงฮึดก็จะค่อยๆ มา เหมือนเรากำลังสู้กับตัวเราเอง แล้วบางทีการสู้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ยุ่ง ไม่ต้องสาดงาน ไม่ต้องปั่นจักรยานเอาชนะร่างกาย เราแค่อยู่กับความเจ็บไป แล้วทำชีวิตให้เหมือนเดิม

ไม่อยากเชื่อว่าแค่ไม่ต้องพยายามจะรอดให้เร็วน่ะ มันดีต่อใจมาก การไม่ฝืนคือไม่เหนื่อยเพิ่ม แล้วพอจัดการตบความคิดเวิ่นๆ ไร้ความจริงออกไปได้ ยอมอยู่แบบคนไม่ได้นี่ล่ะ มันกลับโอเคแฮะ ไม่เชื่อเลยว่าจากที่เรามีความตั้งใจ “ฉันต้องมีใครให้ได้” มันเปลี่ยนมาเป็น “ฉันอาจไม่มีโชคเรื่องความรักก็ได้” แทนทันที พอมันผ่อนคลายแล้วยอมรับ ก็เลยไม่คาดหวังอะไร เบาลงมาก แล้วอยากจะหัวเราะดังๆ กับตัวเอง โชคเรื่องอื่นเข้ามาเลย ได้งานดีๆ มีเพื่อนใหม่น่ารักๆ คุยกับใครก็ขำๆ ขึ้น สบายใจจัง แล้วเลิกคิดไปเลยว่าเราต้องมีใครก่อนจะแก่ เอ! เอาจริงๆ เราไม่ต้องนอนจับมือใครก็ได้นี่นา ไปเจอความสุขเล็กๆ น้อยๆ เยอะขึ้นอีก

เหมือนชีวิตเรียกว่าหักมุม

แต่ก็มีคนแนะนำว่า บางทีอาจต้องยอมให้ตัวเองพังกว่านี้ ถ้าเกิดยังนิ่งไม่ได้ ยังดิ้นรนกับตัวเองอยู่ คือบางทีเราจะไม่นิ่งเลย มันเป็นบางวันที่ขั้นตอนการเยียวยาตัวเองของเรา เหมือนมันหมุนไปข้างหน้า มันเหมือนคลื่น บางวันขึ้นสูง บางวันตก แต่ที่แน่ๆ เราจะไม่ถอยหลัง รู้เลยว่าต้องตามสติให้ทัน แล้วการยอมรับว่า “เขาไม่ได้รักเราแล้ว” มันดีมาก นี่คือความจริงนี่นา

พอเริ่มดึงตัวเองได้ ถึงจะมีร้องไห้บ้าง มันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ร้องไห้เพราะคำถาม ทำไมๆๆๆ แต่ร้องเพราะเราต้องเอามันออกมาอีก ออกมาอีก ความเสียใจคือการปล่อยออกแทน แล้วเรามีแก่นของตัวเองใหม่ด้วยนะว่า เราอยากสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ ไม่อยากให้พังหนักๆ อีกแล้ว อยากให้ตัวเองพูดได้เต็มปากว่า ฉันอยู่คนเดียวได้แล้ว ก็เลยพยายามดูแลตัวเอง กินน้ำเยอะๆ กินอาหารดีๆ อ่านหนังสือ ตั้งใจทำงาน ให้เรามั่นคงกับตัวเอง และได้ทำสิ่งที่เคยฝัน คิดเลยว่าถ้าเรามีฝัน แล้วทำมันได้จริง นั่นก็ความหมายหนักๆ ให้ชีวิตเราแล้ว ไฟมาทันทีเลย

คำว่า “ฉันจะไม่ยอมพังอีก” และ “ฉันยอมรับความจริง” เหมือนขัดแย้งนะ แต่เราว่ามันเบลนด์ด้วยกันแหละ กอบกันขึ้นมาเป็นเราหัวใจใหม่ มั่นใจกับตัวเองเลยว่า ครั้งนี้เราเปลี่ยนไป เจ็บหนักต้องไม่มี

เหมือนเรามีหัวใจใหม่ และได้เข้าใจหัวใจนั้นแล้ว

www.cleothailand.com

เทคแคร์หัวใจ ตัวเองให้หายดียังไง หลังจากอกหักที่แสนเจ็บปวดรวดร้าว

รักษาหัวใจ

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']