ตามหามานานกับการรักษาฝ้ากระสุดจึ้งด้วยเทคนิค SMAPS สิทธิบัตรเฉพาะ Chuladoctor Anti-Aging Center

ส่องกระจกทีไร ฝ้า กระแทกใจทุกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่งหน้าก็ต้องปกปิดอย่างหนา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนต้องการความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ คลีโอเลยหาข้อมูลว่าตอนนี้มีการรักษาฝ้ากระให้หายขาดอย่างไรได้บ้าง เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็แค่ประคองด้วยกันแดดปกป้องผิว หรือสกินแคร์ที่ใช้แล้วแทบไม่เห็นผลต่อปัญหาฝ้า กระ ผิวแพ้ง่ายเลย เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฝ้ากระที่มีนั้นได้ฝังตัวลึกลงในชั้นผิว สะสมจนกลายเป็นความไม่มั่นใจ ไม่กล้าสบตาใครตรงๆ ปวดใจขนาดนี้ คลีโอเจอคำตอบแล้วว่ามีนวัตกรรมที่ช่วยรักษาฝ้ากระ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า เทคนิค “SMAPS” เป็นทางออกที่บอกลาฝ้ากระอย่างถาวร กับ Chuladoctor Anti-Aging Center คลินิกที่เชี่ยวชาญเรื่องรักษาฝ้า กระโดยเฉพาะ ถึงเวลาทวงคืนสีผิวที่เรียบเนียนให้กลับมาอย่างสง่างามพร้อมเผยผิวอย่างมั่นใจกันแล้ว สาเหตุของฝ้า กระที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เลี่ยงได้ยาก! เราจะได้ยินรุ่นคุณแม่สอนว่าพยายามอย่าโดนแดดเยอะ แต่ปกป้องยังไง ฝ้าก็ยังมา และปัญหาฝ้ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุของการเกิดกระและฝ้าไม่ใช่แค่แสงแดดที่มีรังสียูวีคอยทำร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ การได้รับฮอร์โมนบางชนิดซึ่งยิ่งเมื่ออายุมาก ยิ่งรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปจะเห็นฝ้า กระที่ชัดเจน ดังนั้นการดูแลรักษาเองในชีวิตประจำวันอาจเอาไม่อยู่ ต้องไปคลินิกรักษาฝ้ากระ และปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชียวชาญโดยด่วน Q: ทำไมที่ผ่านมา การรักษาฝ้ากระถึงเป็นเรื่องยาก ไม่หาย ซ้ำร้ายยังทำให้ผิวกลับแย่ลงกว่าเดิม!? A: […]

ในโลกของการทำงานเราเลือกได้เพียง 2 อย่าง อะไรคือสิ่งที่ใช่สุดสำหรับเรา

คนที่ทำงานบริษัทมีร่มกางไว้ให้แล้ว หรือคนที่ออกมาสร้างตัวเองและกางร่มด้วยตัวเอง ที่แปลกคือพอเรามีร่มกางไว้ให้แล้ว เราก็อยากออกไปกางร่มเอง แต่พอเรามากางร่มเอง เราก็รู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าออกมา แล้วอะไรคือร่มที่ใช่ที่สุดของเรา… การเป็นพนักงานบริษัทหรือทำงานแบบที่มีคนตั้งบริษัทรอเอาไว้ มีข้อดีคือเรามีเงินเดือนทุกเดือนแน่นอน เราแพลนชีวิตได้ตามเงินที่ได้มา เหมือนเรามีโฟกัสปักไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำตามสิ่งที่บริษัทตั้งเอาไว้ให้เรา อยากไต่สูงขึ้นแค่ไหน ก็ง้างศักยภาพออกมา เจออะไรก็ปะทะไปในแบบตามคัลเจอร์ขององค์กรนั้น ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่เกี่ยงงาน จับประเด็นได้ โฟกัส และทำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยวางบ้าง ฮึบบ้าง ผ่านไปสิบปีเราก็มีเงินเก็บได้ชิลล์ๆ แต่เราอาจถามตัวเองทุกวัน… จิตวิญญาณฉันยังอยู่ดีนะ ความฝันของฉันล่ะ ฉันจะต้องขับรถมาตึกนี้ทุกวันไปอีกนานแค่ไหน ตกลงฉันต้องทน ต้องเล่นตามน้ำ สิ่งที่อยากทำก็ต้องเงียบไว้ ไม่ชอบอะไรก็ต้องเฉยๆ แล้วปล่อยผ่าน ศักยภาพฉันใช้ไปเพียงเท่านี้จริงหรือ แพชชั่นล่ะ ความเป็นตัวเองล่ะ ฉันแค่มีเงินเดือนเป็นที่ตั้งจริงหรือ? แล้วถ้าเราทำงานแบบกางร่มให้ตัวเองล่ะ เหมือนจะดูสานฝัน เท่ เก๋ ได้ทำอะไรของตัวเองแล้ว เราอาจจะมองแค่ตัวเรากับสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะสร้าง แต่เราไม่มีหลักใดๆ ไม่มีองคาพยพช่วยประกอบร่างใดๆ เราคนเดียวล้วนๆ ที่จะต้องลงมาเล่นในมหาสมุทรของการหาเลี้ยงชีพแล้ว แก่นต้องชัด เรียกว่าต้องแน่จริงเลย เราได้เป็นนายตัวเองเต็มที่ เรามีวิชั่นของตัวเองแล้ว แต่ก็มีสองทางให้เลือกนะ เลือกกางร่มให้ตัวเองแต่ยังต้องพึ่งร่มของคนอื่น หรือกางร่มของตัวเราล้วนๆ […]

“อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” ใช้แทนมื้ออาหารได้ มีสารอาหารหลากหลาย ดื่มได้ทุกวัน รสชาติอร่อย

ตั้งใจมาไม่รู้กี่ปีจนหมดหวังว่าชีวิตนี้จะลดน้ำหนักได้สักทีจริงๆ หรือเปล่า เพราะบอกตามตรงว่าก็ลองมาหมดแล้ว ทั้งวิธีอดอาหารซึ่งก็ผอมลงจริง แต่ร่างกายเพลียและหิวจนไม่มีแรงเหมือนได้สารอาหารไม่เพียงพอ ตอนที่เริ่มกลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็ดีดเพิ่มมากกว่าเดิม หรือพอจะลองโหมออกกำลังกาย ได้หุ่นกระชับขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หุ่นตามที่ฝันจนพับเก็บความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักไปนาน แต่วันนี้มีเทคนิคลดน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายยังได้รับโภชนาการที่ดีมาฝาก! ค้นพบเทคนิคลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร หลักการลดน้ำหนักที่แนะนำคือต้องจำกัดพลังงานแคลอรีให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการและยังต้องได้สารอาหารที่หลากหลาย แต่ความยากคือจะกินยังไงให้อิ่ม แคลอรีไม่เกิน ตอนนี้มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่ยังได้โภชนาการที่เหมาะสม ที่เรียกว่า “OPTIFAST” “อาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก” เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ที่คิดค้นโดย Nestlé Health Science ที่มีสารอาหารหลากหลายและเหมาะสม สามารถใช้รับประทานเพื่อทดแทนมื้ออาหารโดยไม่ลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดน้ำหนักตามคำแนะนำของแพทย์ นี่คืออาหารทางการแพทย์เพื่อลดน้ำหนักที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะ… แชร์สูตรใส่ใจตัวเอง 1 วันกับ OPTIFAST* 1 มื้อ = OPTIFAST 1 ซอง2 มื้อ = อาหารพลังงานต่ำแบ่งรับประทานทั้งวันกับผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ 2 ผล, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ไม่เติมน้ำตาลทราย 1 แก้ว, ผักใบหรือผักที่มีแป้งต่ำ 2 ถ้วยและน้ำเปล่า 2 ลิตร *อาหารทางการแพทย์ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ Food […]

ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง เราจะ “พอ” กับใครบางคนได้ชิลล์เลย

บางครั้งสิ่งที่อยากที่สุดในความสัมพันธ์ ไม่ใช่ตอนอยู่ในความสัมพันธ์นะ แต่ตอนที่เราอยากเดินออกมาใจแทบขาด แต่เราออกมาไม่ได้ ไม่แปลกหรอกที่เราจะรักใครแล้วเรามารู้ทีหลังว่า เรารักเขามากกว่าที่เขารักเรา และรู้ต่อว่าเราไม่ควรอยู่ในความสัมพันธ์นี้แล้ว เพราะมันจะทำร้ายเราแน่นอน เอาล่ะ! เมื่อเราผ่านกระบวนการเรียนรู้จักความรักครั้งนี้ รู้จักเขา เห็นตัวเอง เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว และเรารู้แล้วว่าไม่เวิร์ค เราคงต้องเดินออกมา ถึงตอนนี้สิ่งที่เราติดก็คือ “ความสุขที่เคยมี ความทรงจำ คำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ความดีบางอย่างของเขา ความหวังที่อาจจะดีก็ได้ที่เราคิดไปเอง” ทั้งหมดมารั้งให้เราเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้สักที ไม่นับที่เราจะออกๆ เขาก็เกี่ยวเราเอาไว้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ “เรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเต็มๆ” เรามักชอบคิดว่าเขาเจ๋งกว่าเรา เขาคิดเก่ง ทำงานเก่งว่าเรา เขาโรแมนติกจัง เขาน่ารักโน่นนี่ เขามีศักยภาพ เขา…บลาๆๆๆๆ แต่ขอถามคำหนึ่งเลยนะ แล้วเราล่ะ “เรามีอะไรที่เริ่ดบ้าง?” ถ้ายังคิดไม่ออกขอบอกสั้นๆ เลยที่เรามีแล้วเฉือนเขาแน่นอน “เรามีหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความรัก” เราเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะมอบความรัก เห็นหัวใจของคนรัก เข้าใจคนรัก และทำอะไรให้ความรักของเราดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้คือคุณค่าของเรา และเมื่อคุณค่าตรงนี้ของเราถูกส่งไปหมดใจ แต่เขากลับส่งกลับมาบ้าง ไม่ส่งบ้าง เห็นคุณค่าบ้าง ไม่เห็นบ้าง หรือเห็นตอนที่เขาอยากได้อะไรจากเรา แล้วไปตอนที่เขาก็ไม่ได้อยากได้ในเวลานั้นของเขา แปลว่าเขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจรักแบบเดียวกับเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกจมๆ กับตัวเอง แล้วคอยถามตัวเองว่าทำไมๆๆๆๆ […]




Relationship

7 นิสัยท็อกซิกในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนปกติ แต่จริงๆ อันตรายนะ

7 นิสัยท็อกซิกในความสัมพันธ์

มองข้าม 7 นิสัยนี้ไม่ได้เลย ใครมีความสัมพันธ์อยู่แล้วเป็นแบบนี้ โปรดระวัง! เพราะจะเหมือนปกติมากแต่ความจริงแล้วอันตรายอยู่!

ความมหัศจรรย์จากหนังรักทุกเรื่องที่เราดู ประโยค “You complete me.” ของทอม ครูซในหนัง Jerry Maguire ความบ้าดีเดือดของโนอาห์ที่มีให้อัลลี่ใน The Notebook ยังตามมาหลอกหลอนเรา ให้เราคิดว่าความสัมพันธ์ต้องเป็นแบบนั้นสิ แต่ในความจริงแล้วมีนิสัยและแอตติจูดในความรักที่เราคิดไปเองหลายสิ่ง ที่ทำให้เราท็อกซิกในความสัมพันธ์ได้ คลีโอขออัพเดท 7 นิสัยท็อกซิกในความสัมพันธ์ อยากบอกว่าต้องเข้าไปสู่ความจริงให้ได้จริงๆ ก่อนนะ ไม่อย่างนั้นเพ้อตามแย่เลย

ความจริงที่เราไม่อยากได้ยินก็คือ: นิสัยท็อกซิกในความสัมพันธ์แบบน่ะ เรามักชอบบูชานิสัยเหล่านี้ เรามมีไอเดียเรื่องความรักว่าต้อง “จบแบบสุขสันต์” เหมือนในหนัง หรือแอตติจูดที่ว่า “จะรักฉันสุดใจ หรือไม่ก็อย่ารักฉันเลย” แต่ความจริงแล้วสิ่งที่จะทำให้รักนั้นดีน่ะ ไม่ใช่ความเชื่อเช่นนี้เลย อาจดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ต้องใช้การประคับประคองและเข้าใจมากๆ ถ้าเรายังติดกับความรักที่อยู่ในอุดมคติ ก็อาจทำให้เราคาดหวังกับความเป็นจริงเกิดไป ทำให้เรามีนิสัยที่ท็อกซิกๆ ออกมาได้ และทำร้ายความสัมพันธ์ในที่สุด

toxic relationship01

ลองเช็คดูว่าคุณ หรือคู่ของคุณมีนิสัยเหล่านี้มั้ยนะ

1. คาดหวังให้คนรักต้อง “ซ่อม” ทุกความรู้สึกพังของอารมณ์เราได้

เอาตรงๆ เลยว่าคุณน่ะทะเลาะกับคนรักเรื่องที่ว่า “เขาไม่อยู่ข้างๆ คุณตอนคุณรู้สึกแย่” กี่ครั้ง คุณรู้สึกว่าเขาน่ะไม่เข้าใจอารมณ์ส่วนลึกของคุณหรอก เรื่องนี้หนักอยู่สำหรับผู้ชายนะ อารมณ์สวิงของเรา อารมณ์ที่มีอะไรมาสะกิดแล้วอยู่ดีๆ เราก็ร้องไห้ แล้วถ้าเรารู้สึกดำดิ่ง แล้วเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราก็จะยิ่งตีโพยตีพายกับตัวเองเลยว่า “เธอไม่เข้าใจฉัน” ให้ยิ่งทะเลาะ คาดหวัง และพังเข้าไปอีก

Cleo Says: เราต้องแยกแยะให้ออกนะว่าอะไรคือการซัพพอร์ตคนรัก เมื่อเขาเจอเรื่องทุกข์ใจ กับอะไรคือการที่ต้องเลื้อยเข้าไปเข้าใจอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของคนรัก เพราะบางทีเราก็ต้องซ่อมตัวเองให้ดี รักตัวเองให้เป็น ก่อนที่จะไปรักใคร จะเหวี่ยงความรู้สึกเช่นนี้ไปให้เขาเลย ก็ไม่แฟร์กับเขาหรอกนะ ในความสัมพันธ์มันโอเคที่จะบอกคนรักเราว่า “ฉันรู้สึกหนักเกินไปที่จะทำสิ่งนี้คนเดียว เธอช่วยฉันได้ไหม?” เราต้อง “ถาม” เขา แต่อย่าไปคิดเอาเองว่าเขาต้องมา “ซ่อม” เรา และต้องรับผิดชอบอารมณ์เราอะไรแบบนี้ล่ะ

2. เอาเรื่องความ “แฟร์” มาเป็นที่ตั้ง

ถ้าเรามัวแต่คิดว่าแฟร์ไม่แฟร์ในการทำอะไรเพื่อคนรักล่ะก็ เราจะเจ็บปวดและไปคาดหวังได้เลย ถ้าเราพบว่าเราคือผู้หญิงที่ต้องบวกลบคูณหารในเรื่องความสัมพันธ์ ทุกสิ่งที่เราทุ่มเทลงไป เราต้องได้กลับมาเท่าๆ กัน คุณจะเก็บทุกอย่างในอดีตมาคิดทันที เหมือนจะต้องรักษาคะแนนความเท่าเทียมกันมากกว่ารักษาสัมพันธ์ที่ดี แล้วก็จะต้องมานั่งสรุปว่าเธอพลาดอะไรบ้าง ฉันพลาดอะไรบ้าง

Cleo Says: ในเรื่องความสัมพันธ์ไม่ต้องมีคำว่า “ยุติธรรม” หรอกนะ ไม่จำเป็นต้องเท่ากันขนาดนั้น เช่น เมื่อวานฉันล้างจานแล้ว วันนี้คุณต้องล้าง แต่ให้นึกถึงสิ่งที่เหมาะสมกับความเป็นคุณแต่ละคนเอาไว้ แล้วเข้าไปจัดการกับปัญหาทุกอย่างด้วยธรรมชาติของแต่ละคน ไม่ต้องขุดอดีต และไม่ต้องแบ่งความเท่าเทียมกันในอนาคต จะไม่ต้องคิดมากและอิสระในความสัมพันธ์มากกว่าเยอะ

3. เชื่อว่าเขาคือ “ครึ่งหนึ่งของคุณ”

เป็นความเชื่อที่แสนจะโรแมนติกอยู่ แล้วพอมาเจอเขาก็เหมือนเขามาเติมทั้งหมดของเราที่หายไป สิ่งที่แย่คือคุณก็จะลืมโลกของตัวเองไปด้วยน่ะสิ เป็นแอตติจูดที่จะทำให้ความสัมพันธ์ท็อกซิกได้ เหมือนกับว่าต้องร่วมโลกกันเกินไป จนไม่มีความเป็นตัวเองกันเลย และนำมาสู่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าขาดอีกคน หรือการแอบควบคุมการกระทำของอีกคน ให้ต้องอยู่ในโลกเดียวกันมากเกินไป

Cleo Says: มองเขาให้เป็นคนที่มาสร้างความรื่นรมย์ให้ชีวิตเราเพิ่ม ชีวิตเราดีอยู่แล้ว โฟกัสที่ตัวเราเองมากกว่าค้นหาว่าเขาต้องทำให้โลกของเราเต็ม ค้นหาว่าเราจะทำยังไงให้เรามีความสุขด้วยตัวเราเอง มากกว่าคาดหวังว่าเขาต้องเป็นแหล่งแห่งความสุขของเรานะ

4. คุณชอบฟันธงกับสิ่งที่ “คุณคิดว่าใช่”

ลองนึกภาพนี้ดูนะว่าแทนที่คุณจะพูดว่า “สิ่งที่คุณพูดออกไป ทำให้ฉันเสียใจนะ” แต่คุณกลับพูดว่า “ฉันไม่เคยอยู่กับใครที่พูดจาทำร้ายฉันแบบนั้นเลย” หรือแทนที่คุณจะพูดว่า “ที่คุณทำแบบนั้นหลังจากที่ฉันบอกคุณไป ทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนคุณไม่ได้ยินฉัน” แต่กลับพูดว่า “ฉันต้องการคนที่ฟังฉันมากกว่านี้ และก็แคร์ความรู้สึกฉันด้วย”  เวลาคุณฟันธงความคิดตัวเองแบบนี้ มันเหมือนกับคุณกำลังสร้าง “ความสัมพันธ์ที่คุณต้องการ” อยู่นั่นเอง คุณอาจบอกว่ากำลังพยายามบอกสิ่งที่ไม่ชอบอยู่ แต่ลักษณะการพูดของคุณกลับเหมือนบอกว่า “เขาไม่คู่ควรกับคุณ” มากกว่า และเรื่องนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า กลายเป็นเรื่องท็อกซิกไปได้

Cleo Says: คุณควรที่จะเลิกเอาอารมณ์ของตัวเอง เอาสิ่งที่ตัวเองคิดมาเชื่อมโยงกับคนอื่น แต่ให้ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น โฟกัสที่ปัญหามากกว่าความต้องการของตัวเอง มองเขาว่ามีคุณค่ากับชีวิต เลี่ยงการใช้ประโยคว่า “ไม่เคย” “เสมอๆ” และหาทางแก้ไปเลยดีกว่านะ

toxic relationship02

5. ยิ่งเราขัดแย้งกัน เรายิ่งมีแพชชั่นต่อกัน

ฉากทะเลาะกัน ตะโกนกันสุดเสียงในหนังเรื่อง The Notebook อาจทำให้เราคิดว่าในความสัมพันธ์ เราต้องเป็นแบบนั้นล่ะ จะต้องทะเลาะก่อนแล้วค่อยให้เซ็กซ์เป็นตัวปลอบประโลม ถึงจะรักษาแพชชั่นไว้ได้ แต่ความจริงคือเรื่องแบบนี้กลับทำให้เรากลายเป็นคนอารมณ์ไม่คงที่เกินไป แล้วไม่มีพัฒนาการทางอารมณ์ต่อ พูดคุยกันยาก แตะอะไรก็เสี่ยงว่าจะฟัง ความจริงแล้วเรื่องอารมณ์ที่ขัดแย้งกัน กลับเป็นการเสี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์ไม่ดีมากกว่า ความรักควรเป็นเรื่องอ่อนโยน ไม่ควรเอาความโกรธ ความไม่พอใจมาเป็นตัวล่อให้เกิดแพชชั่นต่อกัน

Cleo Says: ก่อนที่จะถลำกับอารมณ์เช่นนี้ไปมากกว่านี้ ลองย้อนคิดว่าอะไรทำให้ต้องเกิดความขัดแย้ง เพราะความกลัวอะไร ความรู้สึกไม่ปลอดภัยอะไรลึกๆ หรือเปล่า โฟกัสที่สิ่งนี้มากกว่าคำพูดที่เขวี้ยงมาใส่กัน แล้วลองเพิ่มการขอบคุณกัน การรู้สึกดีที่มีกันและกัน สิ่งที่ๆ ที่เราแชร์ด้วยกัน ความสุขที่เรามีต่อกัน มากกว่าเรื่องบาดหมาง เรื่องขัดแย้งกัน และอย่าคิดว่าเราต้องทะเลาะกันตลอดด้วยนะ

6. ปล่อย “คำเปรียบเปรย หรือคำใบ้อะไรบางอย่าง” ออกไป

จะเรียกว่าแอบเล่นเกมทางใจกับคนรักก็ได้ การที่คุณชอบเมนชั่นว่า “แฟนเก่าฉันเคยทำอะไรโรแมนติกให้ฉันบ้าง” เพียงเพราะอยากให้เขาทำแบบนั้นกับคุณ หรือ “คุณเปรียบคู่รักอื่นๆ ว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้” หรือยกตัวอย่าง “เรื่องรักของเพื่อน” เพื่อแอบบอกใบ้กับเขาว่า “ฉันอยากได้สิ่งนั้น” ก็ดูเหมือนจะสนุกที่จะบอกนะ แต่เอาจริงๆ สิ่งเหล่านี้สร้างรอยแผลในใจของคนรัก แล้วก็สร้างนิสัยให้เราเป็นคนแบบนั้นจนท็อกซิกได้เหมือนกัน

Cleo Says: สิ่งที่ดีกว่านั้นเวลาคุณอยากได้อะไรก็คือ “การบอกเขาไปเลยอย่างเปิดเผย” เปิดกว้างกับความต้องการ ซื่อตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจไว้ จะทำให้ความสัมพันธ์มั่นคง ไม่มีอะไรต้องสงสัยในใจ และไม่สร้างภาระทางใจให้กับใคร บอกเขาไปเลยว่า “ฉันอยากให้คุณทำแบบนั้นกับฉัน” มากกว่ายกเรื่องเพื่อนมาเล่าอะไรแบบนี้ล่ะ

7. เชื่อเรื่องไอเดียของ “โซลเมท”

เป็นเรื่องที่จริงและเราควรตามหาคนที่เป็นโซลเมทของเรานะ แต่ถ้าเราเอาคำนี้เป็นที่ตั้งกับทุกสิ่งในความสัมพันธ์ เราก็จะไปคาดหวังคิดว่าต้องเป็นตามนั้นเสมอ หรือหันไปสงสัยคนรักข้างๆ ว่าเขาน่ะคือ “โซลเมท” ของคุณหรือเปล่ากันแน่ การจะเป็นโซลเมทกันได้ต้องใช้เวลาในการปรับเข้าหากัน เข้าใจกัน และรับรู้ความเป็นตัวตนของอีกฝ่าย ที่อาจจะไม่ได้เกิดกันแป๊บๆ หรือยังตัดสินกันไม่ได้

Cleo Says: อย่าเอาข้อบกพร่องของเขามาตัดสินว่าเขาคงไม่ใช่โซลเมท แต่ให้มองหาความเข้ากันได้ สิ่งที่คุณรักในตัวเขา สิ่งดีๆ จากใจที่เขามอบให้ และการดูแลใส่ใจกันที่มีให้กันมา สิ่งเหล่านี้สำคัญกว่าการไปจัดกลุ่มคำแล้วพยายามให้เราต้องเบียดเข้าไปเป็นอย่างนั้นนะ ความรักที่ดีต้องช่วยกันรดน้ำและใส่ใจอีกฝ่าย สร้างความสุขให้เกิดในโลกของแต่ละคน แล้วพอเรามาเจอกันความสุขนั้นจะไหลแลกเปลี่ยนในโลกของเรากันได้เอง

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่ ความสัมพันธ์จะไปต่อได้ เราทั้งคู่ต้องเปิดใจคุยกัน

More

[ajax_load_more posts_per_page='6']