ถ้าเรามีแต่คิดเรื่องเงินในใจ คิดวนเวียนๆ จนหัวกระจุยล่ะก็ ต้องอ่านเรื่องนี้เลย จะทำให้ทุกครั้งที่เราซื้ออะไร เราจะมีวิธีคิดอันแยกยลขึ้น จนเราไม่รู้สึกอะไรกับการใช้เงิน และเงินที่เราเก็บก็จะไม่ร่อยหรอลงด้วย
เราจะสามารถวางแผนการใช้เงินไม่ว่าจะเป็น ช้อปปิ้ง ไปเที่ยว ลงเรียนคลาส หรือดินเนอร์ไฮๆ ได้แบบไม่รู้สึกเสียดายเงิน หรือรู้สึกผิดเลย! เราเรียนวิธีใช้เงินนี้ว่า “cost per use” หรือ “ต้นทุนต่อการใช้หนึ่งครั้ง” นั่นเอง

“ต้นทุนต่อการใช้ 1 ครั้ง” คืออะไร?
ต้นทุนต่อการใช้งานเป็นวิธีวัดมูลค่าที่เป็นไปได้ของการซื้อ เราจะเอาจำนวนครั้งที่ใช้จริงมาหารเงินที่เราใช้ไป นั่นเอง จะทำให้รู้ว่าเราซื้อมาเราจะใช้ไปกี่ครั้ง ยิ่งต้นทุนต่อการใช้งานต่ำ การซื้อก็จะยิ่งคุ้มค่าเมื่อเวลาผ่านไป เหมาะมากเวลาเราจะซื้อเสื้อผ้า เราจะรู้เลยว่าแต่ละครั้งที่เราใส่ เหมือนเราจ่ายเงินไปเท่าไหร่ และเอาวิธีนี้ไปใช้กับคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ได้เช่นกัน ไม่มีอะไรจะรับประกันจำนวนครั้งในการใช้งานให้เราก็จริง แต่สิ่งนี้จะทำให้เราติดนิสัยพิจารณาให้ละเอียดก่อนซื้อได้
วิธีคำนวน “ต้นทุนการใช้ต่อ 1 ครั้ง”
ง่ายๆ เลยคือเอา “ราคารวมของสินค้า หารจำนวนครั้งที่คิดว่าจะใช้งาน” ลองดูตัวอย่างจริงนี้ดูนะ
“ฉันใส่แว่นกันแดดคู่เดิมทุกวัน และเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 5 ปี ฉันจึงคำนวณต้นทุนต่อการใช้งานของแว่นกันแดดราคาอันละ 12,000 บาท หารด้วย 365 วัน ไป 5 ปี ก็จะได้ราคาการใช้ต่อวันเป็น 6 บาทนิดๆ”
แต่ในความเป็นจริงเรามีค่าใช้จ่ายอื่นต่อวันด้วย ถ้าเอามาคิดคร่าวๆ เราก็จะได้ค่าใช้จ่ายต่อวันของเราโดยประมาณ
วิธีบอกว่าเราจะใช้บ่อยแค่ไหน?
เราต้องใช้ความเป็นจริงในการพิจารณา และต้องตั้งต้นอย่าเหนื่อยสมองในการพิจารณาด้วยนะ ก่อนซื้ออะไรก็เลยจำเป็นที่เราจะต้องช้าๆ เอาไว้ และนี่คือคำถามที่เราใช้ถามตัวเองก่อนจะซื้ออะไรได้:
- ของสิ่งนี้จำเป็นสำหรับโอกาสอะไรบ้าง และบ่อยแค่ไหน?
- ของสิ่งนี้ให้อะไรฉันนอกเหนือไปจากของที่ฉันมีไหม?
- ของสิ่งนี้เอามาปรับให้เข้ากับซีซั่น หรือโอกาสอื่นๆ ได้ไหม?
- ถ้าฉันมีของที่เหมือนกันกับสิ่งนี้แล้ว ฉันจะใช้มันแทนสิ่งที่เรามีเมื่อไหร่บ้าง?
- ฉันจะใช้ของสิ่งนี้ต่อมั้ย ถ้าเทรนด์เปลี่ยนไป?
- ฉันซื้อของสิ่งนี้เพราะฉันอยากได้จริงๆ หรือเพราะฉันเครียด เบื่อ หรือตามเพื่อน?
- วัสดุที่ทำทนทาน ยาวนาน ยั่งยืนมั้ย?
- ของสิ่งนี้เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของฉันไหม?
- ถ้าไม่ซื้อของสิ่งนี้ แล้วเว้นไปสักอาทิตย์หนึ่ง ฉันจะยังอยากได้อีกไหม?
คำถามสุดท้ายที่เราจะตอบตัวเองยากที่สุด และต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยก็คือ “จำนวนครั้ง” ที่เราจะใช้ของสิ่งนี้ เพราะบางอย่างเราช้อปมาด้วยความรู้สึกฟิน มันเก๋ดี ความรู้สึกตอนซื้อที่เราบอกตัวเองว่า “ก็ชอบอะ” จะเปลี่ยนมาเป็น “ฉันขอพิจารณาก่อน” แต่ก่อนเราอาจซื้อเพราะ “ราคา” ที่ติดไว้ พอเรามาหาจำนวนครั้งที่ใช้ปั๊บ เราก็จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราซื้ออย่างแท้จริงขึ้นมาเลย

ของที่เราซื้อมีราคาต่อการใช้งานสูง ก็อาจจะโอเคนะ
เพราะเราจะเห็นประโยชน์ของสิ่งนั้น สุดท้ายเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด ไอเดีย “cost per use” คือการพิจารณาคุณค่าของการซื้อแต่ละครั้งของเรา ที่มีผลต่อชีวิตเราโดยรวม เช่น ถ้าเราซื้อชุดราคาเป็นหมื่น และเราใช้ปีหนึ่งไม่เกิน 3 ครั้ง แต่การใช้นั้นคือการโฮสต์งานสำคัญที่ทั้งงานมีคุณค่าหลายแสนบาท หารกันออกมาแล้วเราอาจคิดว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้องค์รวมของงานออกมา ในโทนที่เราต้องการสร้างสำหรับคนที่มาในงานนั้นก็ได้ และเรารู้สึกชอบตัวเอง มั่นใจในตัวเองที่ใส่ชุดนั้น เราเลยมีพลังในการทำหน้าที่สำคัญของงานได้
เราถือว่าเรื่องนี้เป็นการใช้ความคิดพิจารณาในทุกครั้งของการซื้อ เรียกว่าถ้าเราเห็นคุณค่า การใช้เงินที่มากขึ้นหน่อยก็ไม่เป็นไรได้เลยนะ
อ่านเรื่องอื่นต่อได้ที่ คีย์สู่ความสำเร็จ ของนักธุรกิจพันล้าน